(0)
๑๑๑(..วัดใจ..13.)(..13.บาท)เหรียญหลวงปู่ธรรมรังษี เนื้อสามกษัตริย์ ปี 46 รุ่นแซยิด 84 ปี วัดพระพุทธบาทพนมดิน อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ เหรียญสวย สภาพดีเยี่ยมสวยหน้าสะสมครับ








รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่อง๑๑๑(..วัดใจ..13.)(..13.บาท)เหรียญหลวงปู่ธรรมรังษี เนื้อสามกษัตริย์ ปี 46 รุ่นแซยิด 84 ปี วัดพระพุทธบาทพนมดิน อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ เหรียญสวย สภาพดีเยี่ยมสวยหน้าสะสมครับ
รายละเอียดในแถบจังหวัดสุรินทร์ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีพระสงฆ์จากประเทศเขมรรูปหนึ่งที่ได้ลี้ภัยสงครามเมื่อปี พศ.2517 ซึ่งประเทศกัมพูชาเกิดสงครามสู้รบกันอย่างรุนแรง “พระมงคงรังษี” เป็นพระรูปหนึ่งจากประเทศเขมร
“พระมงคลรังษี” หรือที่บรรดาศิษยานุศิษย์ญาติโยมเรียกขานกันติดปากว่า “หลวงปู่ธรรมรังษี” มีนามเดิมว่า นายสุวัฒน์ ฉิง เกิดเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2462 ณ ต.เกีย อ.โมงฤษี จ.พระตะบอง ประเทศกัมพูชา
เมื่อปฐมวัยได้ศึกษาจนจบการศึกษาภาค บังคับ(เทียบเท่าชั้น ป.4 ของไทย) เมื่ออายุได้ 14 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร 1 พรรษา แล้วลาสิกขาออกมาช่วยบิดา-มารดา ทำงานจนอายุครบ 20 ปีบริบุรณ์ จึงได้อุปสมบทเมื่อวันที่ 3 พค.2481 ณ วัดเวฬุวนาราม ต.เกีย อ.โมงฤษี จ.พระตะบอง
“หลวงปู่ธรรมรังษี” เป็นพระที่มีใจใฝ่ปฏิบัติสมาธิภาวนา และกรรมฐาน ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานควบคู่กับการศึกษาพระเวทวิทยาคมจากพระเกจิอาจารย์ หลายรูปในประเทศกัมพูชา พร้อมทั้งบเดินทางเข้ามาศึกษาภาษาไทย ณ วัดมหาธาตุฯ กรุงเทพฯ จนสามารถอ่านเขียน พูดภาษาไทยได้เป็นอย่างดี
ในปี พ.ศ.2517 เกิดการสู้รบในเขมรจึงได้ตัดสินใจเดินทางเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภาร จากด่านคลองลึก อ.อรัญประเทศ เข้าสู่กรุงเทพมหานคร ได้พำนึกอยู่กับพระอาจารย์วิโรจน์ รองเจ้าอาวาสวัดราชสิงขร และเป็นสหธรรมิกกันมาก่อนหน้านี้ พระอาจารย์วิโรจน์ เห็นว่าหลวงปู่ธรรมรังษี สนใจด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน จึงได้นำมาจำพรรษาที่วัดเพลงวิปัสสนา เขตบางกอกน้อย ทำให้ท่านได้ศึกษาและปฏิบัติเพิ่มเติมจกาพื้นความรู้เดิมทั้งจากสำนักวัด เพลงฯ และสำนักวัดมหาธาตุฯ ทำให้ก้าวหน้าขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
ในพรรษาถัด มาท่านจึงได้ปรารภกับสหธรรมิกรูปหนึ่งที่วัดเพลงฯ ว่า การปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาอยู่ในเมืองหลวงนั้นก้าวหน้าไปได้ช้า เพราะยังไม่สงบ สงัดเพียงพอ น่าจะมีสถานที่อื่นที่จะไปบำเพ็ญเพียรให้ประสบความสำเร็จได้ สหธรรมิกรูปนั้นจึงนำพาหลวงปู่จารึกสู่ชนบทบ้านเกิดที่อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ ได้พบกับ “พระอาจารย์สิงห์ สุธัมโม” (พระครูภาวนาประสุต) เจ้าอาวาสวัดบ้านขี้เหล็ก ต.หนองบัวทอง อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นพระนักปฏิบัติ เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของสาธุชนทั่วไปในละแวกนั้น
เมื่อ ท่านได้กราบอาจารย์สิงห์ก็รู้สึกต้องในอัธยาศัยไมตรี จึงได้พำนักอยู่ ณ วัดบ้านหนองเหล็ก ตามคำชักชวน ช่วงเวลาแห่งการได้อยู่จำพรรษา ณ วัดบ้านหนองเหล็กนี้เอง ทำให้หลวงปู่ธรรมรังษี ได้มีโอกาสพบกับพระอาจารย์สายวิปัสสนาจากสำนักต่าง ๆ มากขึ้น ได้เปิดตัวให้เป็นที่รู้จักเลื่อมใสศรัทธาของสาธุชน และเป็นที่ยอมรับในหมู่พระสงฆ์ที่สนใจการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน
พ. ศ.2521 ท่านได้รู้จักกับพระครูปลัดขาว ฐิตธมฺโม เจ้าอาวาสวัดบุญศรีมุนีกร กรุงเทพฯ จึงได้อารธนาให้หลวงปู่รรมรังษี ร่วมเป็นพระวิปัสสนาจารย์ ในสำนักของท่าน ซึ่งรับฝึกปฏิบัติรรมให้กับพระภิกษุ สามเณร และคฤหัสถ์ผู้สนใจทั่วประเทศ
“หลวงปุ่ธรรมรังษี” เห็นเป็นโอกาสที่จะได้เผยแพร่แนวทางปกิบัติให้กว้างขวางได้มากยิ่งขึ้น จึงได้รับปากไปปฏิบัติภารกิจในช่วงที่มีการฝึกอบรมที่สำนักวัดบุญศรีมุนีกร และกลับมาจำพรรษาอยู่กับพระครูภาวนาประสุตในช่วงว่างจากการฝึกอบรม
จึงถึงปีพ.ศ.2525 เจ้าคณะอำเภอคูเมือง ที่พยายามเสาะแสวงหาพระวิปัสสนาจารย์ เพื่อไปอบรมเผยแผ่ธรรมให้กับคณะสงฆ์ในอำเภอ
คูเมือง เมืองได้มาพบกับหลวงปู่ธรรมรังษี ก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงได้อาราธนาให้ท่านมาเป็นพระวิปัสสนาจารย์ดังกล่าว นับเป็นโอกาสดีและ
ประจวบเหมาะอย่างยิ่ง ท่านพิจารณาเห็นว่าการปฏิบัติธรรมตามแนวทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน หากไม่มีการเผยแผ่ก็จะไม่สามารถสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนถาวรได้เลย เมื่อมีความคิดเห็นเช่นนี้ ท่านจึงตกปากรับคำอาราธนาของท่านเจ้าคณะอำเถอคูเมือง โดยได้มาพำนักประจำที่สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานของอำเภอคูเมือง ณ วัดบ้านปะเคียบ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์
ต่อมาได้รับนิมนต์จากพระครูประภัศ ร์คณารักษ์(จันทร์ ปภัสสโร) อดีตเจ้าคณะอำเภอท่าตูม ให้มาพัฒนาวัดพระพุทธบาทพนมดิน ซึ่งเป็นวัดที่ท่านสร้างไว้เพื่อสถานที่ปฏิบัติรรม ด้วยบารมีธรรมอันแกร่งกล้า และด้วยเมตตาธรรมอันเปี่ยมล้นของท่าน สามารถทำให้วัดพระพุทธบาทพนมดิน ได้สำเร็จดังเจตนารมณ์ของคณะสงฆ์ ข้าราชการ พ่อค้า และประชาชนอำเภอท่าตูม ได้ดังที่หวังไว้
ท่านได้ตัดสิน ใจอยู่พัฒนาบุกเบิกเป็นสำนักวิปัสสนากรรมฐาน สร้างศาลาการเปรียญ เสนาสนะและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติรรมจนเจริญรุ่งเรือง ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ท่านได้ปรับปรุงก่อสร้างกุฏิสงฆ์ หอสวดมนต์ พระอุโบสถ รั้วคอนกรีตรอบวัด ประตูวัด บูรณปฏิสังขรณ์อาคารอื่นๆ ทั้งของวัดและของส่วนราชการต่างๆ อีกมากมาย บริเวณวัดสะอาดเป็นระเบียบและดูร่มรื่นและสวยงาม
ในวโรกาสที่สมเด็จพระ นางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 72 พรรษา เมื่อวันที่ 12 สค.2547 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ “พระมงคลรังษี ” สร้างความปลาบปลื้มใจให้แก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาและผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาอย่าง มาก
แล้ววันที่ทุกคนต้องเศร้าสลดในการจากไปของท่านก็มาถึง เมื่อเวลา 22.48 น. วันที่ 9 ตค. ที่ผ่านมา วงการสงฆ์ต้องสูญเสียพระเกจิอาจารย์ชื่อดังอีกรูป ท่านละสังขารด้วยโรคชรา ที่รพ.วิชัยยุทธ ขณะเข้ามารักษาอาการอาพาธ สิริอายุ 87 ปี พรรษา 68 ขณะนี้สังขารของท่านตั้งสวดพระอภิธรรมอยู่ที่วัดพระพุทธบาทพนมดิน อ.ท่าตุม จ.สุรินทร์
http://chaiduangkaew.blogspot.com/
ราคาเปิดประมูล13 บาท
ราคาปัจจุบัน263 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ10 บาท
วันเปิดประมูล - 11 ก.พ. 2554 - 22:04:11 น.
วันปิดประมูล - 12 ก.พ. 2554 - 22:06:01 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลchaiduangkaew (786)


(0)
 
ราคาปัจจุบัน :     263 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     10 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    อาณาจักรพระ (3.7K)(1)

 

Copyright ©G-PRA.COM
www1