(0)
พระโคตรเศรษฐี " ของ สำนักส่งเสริมปฏิบัติธรรม ศิษย์พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) จังหวัด นครราชสีมา จัดสร้างโดย แม่ชีประทุม โชติอนันต์






รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่องพระโคตรเศรษฐี " ของ สำนักส่งเสริมปฏิบัติธรรม ศิษย์พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) จังหวัด นครราชสีมา จัดสร้างโดย แม่ชีประทุม โชติอนันต์
รายละเอียดหลายๆท่านคงคุ้นเคยกับชื่อ "โคตรเศรษฐี" ของวัตถุมงคลรุ่นต่างๆ โดยเฉพาะครั้งแรกนั้นเป็นองค์จตุคามฯ ที่ออกให้บูชา ณ. วัดแห่งหนึ่งที่จังหวัดกระบี่ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙

แต่พระที่ได้ชื่อว่า"โคตรเศรษฐี"จริงๆนั้น สร้างครั้งแรกโดยท่านแม่ชีประทุมเมื่อ ๒๑ ปีมาแล้วโดยทำมาจากแร่ชนิดหนึ่ง ซึ่งตอนแรกที่ได้มานั้นท่านแม่ชีประทุมได้นำไปให้ทางกรมทรัพยากรธรณีวิทยาพิสูจน์ว่าเป็นโลหะชนิดใด ทางกรมทรัพฯได้รับของไว้พิสูจน์เป็นเวลา ๙ วัน

เมื่อครบกำหนดท่านแม่ประทุมก็ได้เดินทางไปรับของคืนและได้รับคำตอบว่าเป็น "ตะกั่ว" เมื่อทราบดังนั้นท่านก็ไม่ได้มีคำกล่าวใดๆ ในขณะที่รอท่านก็เดินดูตามตู้ตัวอย่างของแร่ธาตุต่างๆ ท่านจึงถามแก่เจ้าหน้าที่ว่าในตู้คล้ายๆของท่านเหมือนกันหลายตัวอย่าง น่าจะเป็นตะกั่วชนิดเดียวกันกับของท่านใช่หรือไม่

เจ้าหน้าที่ตอบว่าไม่ใช่เพราะองค์ประกอบทางโลหะและโมเลกุลไม่เหมือนกัน ทางเจ้าหน้าที่เองก็ตอบไม่ได้เพราะไม่มีข้อมูลในสารบบ แต่เพราะเป็นโลหะและมีสีแบบนี้จึงต้องแจ้งว่าเป็นตะกั่ว เพราะไม่ทราบว่าจะเรียกว่าอะไร (ต้นฉบับหนังสือรับรองการพิสูจน์ตัวจริงอยู่ที่กรมทรัพฯ ในปี ๒๕๓๒)

พระที่สร้างในครั้งนั้นมี ๓ แบบ คือ
๑ พระเนื้อแร่โคตรเศรษฐี แบบหนา (เท่าๆเหรียญบาท)
๒ พระเนื้อแร่โคตรเศรษฐี แบบบาง (ประมาณตระกรุด)
๓ พระเนื้อผงสีดำฝังแร่โคตรเศรษฐีประวัติแม่ชีประทุม โชติอนันต์ (ในช่วงที่เป็นฆราวาส)

แม่ ชีประทุม ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่ออีกท่านหนึ่ง ชีวิตท่านกว่าจะฝ่าด่านทดสอบต่างๆมาได้จนบรรลุพระอริยขั้นสูงสุด สมตามเจตนาความต้องการที่หลวงพ่อทรงสอน บัดนี้ท่านได้สิ้นไปนานแล้วเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๘ ร่างกายสรีระของท่านถูกเก็บไว้ในโลงแก้ว ไม่เน่าไม่เปื่อย ร่างกายบางส่วนของท่านแปรสถาพเปลี่ยนไปกลายเป็นแก้วใสอยู่ภายในมหาวิหารฯ ให้คณะลูกศิษย์ และผู้ที่มีจิตเลื่อมใสไหว้สักการะ และน้อมระลึกถึง (ประวัตินี้ท่านเองได้เป็นผู้จดบันทึกไว้...)

ตรงกับหลวงพ่อฤาษี ในนิมิต
ครั้นได้เวลาบ่ายโมง พระเดชพระคุณหลวงปู่ลงรับแขก ในวันนั้นมีประชาชนประมาณ ๒๐๐ คน มาคอยกราบหลวงปู่ ข้าพเจ้านั่งข้างหน้าใกล้กับท่านตั้งใจว่าวันนี้เป็นวันตัดสินว่าที่ ข้าพเจ้าปฏิบัตินั้นถูกหรือผิดก็จะได้รู้กัน หลวงปู่เดินออกมาทางประตูหลังของห้องรับแขก ข้าพเจ้าเดินจับตาดู พอเห็นท่านข้าพเจ้าจำได้ทันทีว่า หลวงปู่ฤาษีลิงดำองค์นี้ได้ไปหาข้าพเจ้าในนิมิต แต่ทำไมท่านไม่บอกชื่อเต็มกับเรา บอกแต่เพียงว่าท่านชื่อ "หลวงพ่อฤาษี" ครั้นหลวงปู่นั่งลงที่เก้าอี้รับแขก ข้าพเจ้าก็กราบท่านพอเงยหน้าขึ้นท่านได้ถามข้าพเจ้าว่า "โยมมาจากไหน" ข้าพเจ้าตอบว่า "ดิฉันมาจากจังหวัดจันทบุรี ดิฉันมากราบหลวงปู่ในวันนี้ เพื่อต้องการรู้เรื่องปฏิบัติธรรมเพราะดิฉันเองไม่มีครูบาอาจารย์แนะนำ ดิฉันทำไปด้วยใจรักการปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติแล้วเกิดเห็นอะไรต่างๆมากมาย บางคนหาว่าดิฉันเสียสติเพราะการปฏิบัติ" เมื่อหลวงปู่ได้ฟังท่านพูดขึ้นว่า "เอาละโยม เรื่องของโยมมันเยอะ โยมหยุดไว้เดี๋ยวก่อนนะโยม" เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังหลวงปู่พูดจบแล้วก็รู้สึกเสียใจและเข้าใจว่า ท่านว่าเราเรื่องมากจึงหันไถามพวกที่มาด้วยกันว่า "พวกเราเมื่อตะกี้ฉันพูดให้หลวงปู่ทราบ เรื่องที่ฉันพูดมันนอกเรื่องราวอะไรบ้าง" ผู้ที่มาด้วยพากันตอบว่าไม่เห็นว่าจะนอกเร่องราวอะไรนอกจากเรื่องการปฏิบัติ เท่านั้น

ทันใดนั้นเมื่อหลวงปู่ทักทายพวกที่มาทั้งหมดแล้ว ท่านก็หันมาทางข้าพเจ้าและพูดขึ้นว่า "เอ้าว่ามา เรื่องของโยมมีอะไรว่ามาทีละข้อ อย่าให้มันปนกัน" เมื่อได้ฟังอย่างนั้นเหมือนหัวใจของข้าพเจ้าถูกไฟช็อตปลาบ และรู้ทันทีว่าหลวงปู่รู้เรื่องของเราที่จดใส่กระดาษมาเพื่อจะเตรียมเรียน ถามท่านทั้ง ๔ ข้อ วันนี้เราพบองค์แท้เข้าแล้วเป็นทองร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นเพชรก็เพชรชั้นหนึ่ง ข้าพเจ้าเรียนถามเพียงข้อเดียวก็พอ พระอย่างนี้เราไม่ควรถามอะไรจุกจิกมาก และเราต้องไม่ถามเพื่ออวดว่าใครเก่ง

ใน ที่สุดข้าพเจ้าจึงกราบเรียนถามท่านว่า "โยมกราบเรียนหลวงปู่ว่า ดิฉันปฏิบัติธรรมอยู่ในระหว่างนั้นเป็นเวลา ๕ ทุ่มเศษอยู่ในท่านอนไสยาสน์ ตะแคงขวาพอนอนได้ไม่ถึง ๑๐ นาที ก็เกิดแสงสว่างขึ้นที่หัวนอน ดิฉันเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งรูปร่างสันทัด ผิวเนื้อสองสี ครองจีวรสีเหลืองมีผ้ารัดอกยืนอยู่และท่านได้พูดกับดิฉันว่า อดีตชาติเธอก็เคยปราถนาเช่นนี้ เธอเหลือเพียงชาติเดียว เมื่อท่านพูดจบดิฉันมีความรู้สึกทางจิตขึ้นว่า เอ พระที่ไหนช่างรู้เรื่อง ที่ดิฉันไม่ต้องการเกิดอีกต่อไป หลงวพ่อที่ยืนอยู่ที่หัวนอนตอบดิฉันว่า ฉัน คือหลวงพ่อฤาษีไงล่ะ ในระหว่างที่พูดกันอยู่นั้นมิได้อ้าปากพูดกัน เอาจิตพูดกัน ดิฉันนิมิตเห็นตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.๒๕๒๖ ดิฉันพยายามติดตามหาหลวงพ่อฤาษีมานาน มีคนแนะนำให้ดิฉันมาหาหลวงปู่ ดิฉันไม่มาเพราะหลวงปู่ชื่อหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตามนิมิตบอกว่าหลวงพ่อฤาษี แต่วันนี้เป็นตัวจริง ดิฉันจำได้แม่นยำ ท่าเดิน ทุกๆส่วน เหมือนภาพในนิมิตหมด ดิฉันขอกราบหลวงปู่ และอยากทราบว่าทีเห็นนั้นจริงหรือไม่ หรือดิฉันเพ้อเจ้อไปเอง แม้คนในบ้านก็หาว่าดิฉันบ้าค่ะ หลวงปู่เมตตาดิฉันด้วย ดิฉันอยากทราบเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น"

ครั้นพระเดชพระคุณหลวงปู่ ได้ฟังข้าพเจ้าพูดจบ ท่านได้เอ่ยขึ้นว่า "เออเรื่องของโยมที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องจริงทั้งหมดไม่คลาดเคลื่อน โยมไม่ได้บ้า คนที่มันมาว่าโยมนั่นแหละบ้า และบ้านของโยมฉันก็ไป!!!" ท่านบอกเรื่องภายในบ้านถูกหมดทุกอย่างและกล่าวต่อไปอีกว่า "เออ นักปฏิบัติธรรมมันต้องเด็ดขาดอย่างนี้ มันต้องติดบ้าๆ อย่างนี้มันถึงจะได้กิน มัวแต่อ้อแอ้อยู่ไม่ได้กินแน่ๆ มันต้องอย่างนี้ เออปฏิบัติถูลู่ถูกังเอาจนได้นะโยม ดีแล้ว" ข้าพเจ้ากราบเรียนหลวงปู่ว่า "ดิฉันจะขออยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ด้วยเจ้าค่ะ หลวงปู่จะให้อยู่กี่วันละเจ้าค่ะ ดิฉันจะขออยู่สัก ๗ วัน" หลวงปู่ถามว่า "อยู่ ๗ วันเหรอ เอออยู่นะโยม" ครั้นพอหมดเวลาลงรับแขก หลวงปู่ลงจากศาลา ทุกคนจึงแยกย้ายไปเข้าห้อง

หลวงปู่มีหูทิพย์
ข้าพเจ้าพักอยู่ห้อง เบอร์ ๙ ข้างโบสถ์ ครั้นตอน ๕ โมงเย็น ทำวัตรเย็น ตอน ๖ โมง เตรียมตัวไปเข้าห้องพระกรรมฐานในเวลา ๑ ทุ่ม ในระหว่างที่นั่งรอเวลา ข้าพเจ้าและแม่ชีได้นั่งอยู่ด้านหลังคนอื่นๆเพราะไปช้า หลวงปู่ลงมาเทศน์สอนบรรยายธรรมการปฏิบัติ ท่านพูดถึงเรื่องวิชามโนมยิทธิ ว่ามีฤทธิ์ทางใจ เมื่อได้ยินท่านพูดเรื่องฤทธิ์ ข้าพเจ้าพูดกับพวกแม่ชีที่ตามมาด้วยขึ้นว่า "แม่ชีจะฝึกเรื่องฤทธิ์ไหม" แม่ชีตอบข้าพเจ้าว่า "ไม่ฝึก เพราะดิฉันไม่ชอบ แล้วคุณประทุมล่ะจะฝึกเรื่องฤทธิ์ไหม" ข้าพเจ้าตอบว่า "ดิฉันไม่ชอบเรื่องฤทธิ์เรื่องเดช ดิฉันชอบแต่วิปัสสนาเท่านั้น ฉันไม่ฝึกหรอก" ข้าพเจาและแม่ชีพูดกันเสียงเบาที่สุด มิได้พูดเสียงดังเลย

ทัน ใดนั้นเมื่อข้าพเจ้าพูดว่าไม่ชอบเรื่องฤทธิ์จบลง เสียงหลวงปู่ตวาดดังขึ้นมาว่า "ทุกคนในทีนี้ เมื่อเข้ามาอยู่แล้วสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำตามฉัน ถ้าไม่เชื่อจงออกไปให้พ้นจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย โน่นประตูอยู่โน่น!!!" เมื่อข้าพเจ้าและแม่ชีได้ฟังเสียงหลวงปู่ต่างคนต่างมองหน้ากันเงียบๆ ดูตากันแล้วหลวงพ่อก็บรรยายเรื่องความกระจายของมโนมยิทธิให้ทุกคนเข้าใจว่า "การ ทีฝึกมโนมยิทธิเขาเรียกว่ามีฤทธิ์ทางใจ คือใจเป็นทิพย์ มิใช่เอาลูกตาเห็น และเมื่อรู้แล้วอย่าเอาจิตเข้าไปติด เมื่อทำได้แล้วจะท่องไปไหนก็ได้ สามารถเห็นนรก สวรรค์ เมื่อเห็นแล้วรู้แล้วให้เอาจิตตัดออกไป อย่ามัวไปหลงดูเทวดาโน้น วิมานนี่ นั่นเป็นทางเข้าสู่นรก เข้าใจไว้ด้วย"

เริ่ม ฝึกมโนมยิทธิ
หลังจากนั้นข้าพเจ้าจึงเริ่มฝึกมโนมยิทธิกับผู้หญิง ท่านหนึ่งหลังจากทุกคนภาวนาว่า นะมะพะธะ ไปได้ประมาณ ๑๐ นาทีครูบอกให้หยุดคำภาวนาคุมอารมณ์ไว้ ไม่ต้องอยากรู้อยากเห็นอะไรทั้งหมด ในที่สุดครูก็แนะนำให้ตัดร่างกาย หรือตัด สักกายทิฐิ คือตัดกายไม่ให้ติดกายเราก็ดี คนอื่นก็ดี หรือแม้แต่วัตถุสมบัติในโลก ครูให้ทำอะไรก็ทำตามครูจะถามว่า "ถ้าตายครั้งนี้จะไปไหน" ทุกคนตอบว่า "ขอ ไปพระนิพพาน!!!" เมื่อครูเห็นว่าจิตทุกคนสว่างดีแล้วครูจึงนำไปที่ต่างๆ ...

หลังจากฝึกเสร็จครูฝึกกล่าวว่า "คุณป้าจิตดีมาก ไปได้ตลอดเก่งจังนะคะ" ข้าพเจ้ามีความข้องใจว่าเพราะอยากจะรู้จึงพูดกับครูฝึกขึ้นว่า "ที่คุณป้ามีจิตใจดีและเก่ง อะไรเรียกว่าดี ว่าเก่ง" ครูฝึกตอบว่า "ก็ที่คุณป้าเห็นและตอบได้ตามความเป็นจริงทั้งหมดนั่นแหละค่ะคุณป้า" ถ้าเช่นนั้นเรื่องการเห็นสวรรค์นรก อะไรมากมาย ป้าเห็นมานานแล้ว เขาหาว่าป้าเสียสติเพราะการปฏิบัติ เขาว่าเขาลืมกันมากมาย ข้าพเจ้านึกในใจว่า อย่างนี้การปฏิบัติของเราไม่ผิดแน่นอนเพราะมีพระเดชพระคุณหลวงปู่ยืนยันหนัก แน่น หลวงปู่ผู้มีพระคุณมาก ท่านรู้หมดทุกอย่าง แม้แต่ข้าพเจ้าพูดเรื่องจะไม่ฝึกมโนมยิทธิ พูดกันค่อยๆ ท่านยังได้ยิน ท่านมีหูทิพย์ ทีแรกข้าพเจ้าเข้าใจผิดว่าเขาเอาสายรับฟังเสียงติดไว้ที่เสาที่ข้าพเจ้านั่ง แต่เมื่อมองดูที่เสาก็ไม่เห็นมีสายรับฟังเลย หลวงปู่พระราชพรหมยานมีพระคุณแก่ข้าพเจ้ามากมายไม่มีอะไรจะมาเปรียบได้ หลวงปู่รู้แจ้ง รู้จริง รู้แท้ ข้าพเจ้าได้กราบเรียนต่อหน้าพระองค์ท่าน ว่า ดิฉันจะขอเคารพบูชาหลวงปู่รองมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอด ชีวิต....พอดีเวลาบ่ายของวันหนึ่งประมาณเกือบสองโมงเศษ ได้มีแม่ชีเดินเข้ามาในสำนัก ข้าพเจ้ามองดูรู้ว่าแม่ชีที่เดินเข้ามาในสำนักนี้ คือแม่ชีที่ข้าพเจ้าเชิญให้ออกจากสำนักนี้ไปนานแล้ว แม่ชีนั่งลงกราบข้าพเจ้าพูดพร้อมกับหยิบห่อกระดาษในกระเป๋าหิ้วให้ข้าพเจ้าดู
เธอเล่าต่อไปว่า"ของสิ่งนี้มีคนเขาฝากมาให้คุณแม่เพื่อสร้างพระมหาวิหาร"
ข้าพเจ้าจึงได้ถามแม่ชีขึ้นว่า "ใครเป็นผู้ฝาก เป็นหญิงหรือชาย"
แม่ชีเธอตอบขึ้นว่า "เป็นผู้ชายค่ะ"
ข้าพเจ้าจึงได้ซักถามเธอต่อไปว่า "ไหนเธอลองเล่ามาให้ฟังซิว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรมาตั้งแต่ต้น"

แม่ชีเล่าว่า "ในคืนนั้นดิฉันได้ปฏิบัติอยู่ในถ้ำประมาณห้าทุ่มเห็นจะได้ เกิดนิมิตเห็นผู้ชายแต่งตัว ทรงเครื่องสวยงามอร่ามแพรวพราว
ระยับเป็นสีทอง ยืนอยู่ข้างหน้าดิฉัน ชายผู้นั้นได้พูดขึ้นว่า พรุ่งนี้ตอนสองโมงเช้าจงแต่งขันธ์ห้าขึ้น และจงมานั่งตรงนี้ ฉันจะฝากของเธอ เอาไปให้กับแม่ชีปทุมเพื่อร่วมสร้างพระมหาวิหาร ดิฉันรับคำท่าน ท่านก็หายวับไป พอรุ่งเช้าดิฉันจัดแจงแต่งขันธ์ห้า พอได้เวลาที่ท่านสั่ง ดิฉันได้ไปนั่งตามเดิมพร้อมเครื่องบูชาขันธ์ห้า ดิฉันนั่งสมาธิไปจนถึงสิบโมงกว่า จึงคลายออกจากสมาธิพอลืมตาขึ้นก็เห็นของสิ่งนี้วางอยู่ ดิฉันรู้ทันทีว่าของที่วางนี้เป็นของที่ท่านฝากให้คุณแม่ ดิฉันจึงนำมา เพราะตรงที่ดิฉันนั่งปฏิบัตินั้นฉันกวาดเตียนไม่เคยมีอะไรมาก่อน ดิฉันนั่งปฏิบัติมาตั้งสองเดือนกว่าแล้วค่ะ ฉันไม่เห็นมีอะไรเลย "

ข้าพเจ้าบอกให้แม่ชีแก้ห่อดูของ ข้าพเจ้าเห็นของที่ห่อมามองดูเหมือนก้อนหินที่ที่ขรุขระและมีรอยถูกตัดไป รอยที่ตัดมีแสงไม่เหมือนตะกั่ว ตะกั่วไม่มีแสงจึงทำความแปลกให้ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจึงถามแม่ชีว่า "ของนี้ทำไมจึงมีรอยถูกตัดออกไป "
เมื่อแม่ชีได้ฟังข้าพเจ้าถามขึ้น แม่ชีมีสีหน้าไม่ค่อยดี
เธอตอบขึ้นว่า "ดิฉันได้ของแล้วห่อของ รีบเดินทางตั้งใจจะนำของมาให้คุณแม่ตามคำสั่งของท่าน เมื่อเดินมาได้ครึ่งทางได้พบกับชายคนหนึ่งเขาทำงานอยู่แถวนั้นเขาขอดู เขาเห็นฉันหิ้วหนักมาก ฉันจึงให้เขาดู แล้วเขาขอฉัน ฉันจึงให้เขาค่ะ ดิฉันคิดว่าคงไม่เป็นอะไร ของที่เขาขอตัดไปก็นิดเดียวเอง"

ในที่สุดเธอลาจากไป ข้าพเจ้าได้ให้ปัจจัยเป็นค่าเดินทางกับเธอ ข้าพเจ้ารับของก้อนโคตรเศรษฐีใส่พานมีผ้าขาวปูรองรับ มีดอกมะลิบูชาตั้งไว้ที่หน้าหน้าหลวงปู่ปาน
ครั้นพอตกกลางคืน ในเวลาเช้ามืดของคืนวันเดียวกันกับวันที่รับของ ในเวลาตอนตีห้าครึ่งพากันออกจากพระกรรมฐาน เพื่ออุทิศส่วนกุศล
ทำอย่างนี้เป็นประจำตลอดมา เมื่อพากันอุทิศส่วนกุศลจบลง ข้าพเจ้านั่งอยู่ในกลด เห็นว่าเสร็จกิจแล้วจึงหยิบยานัตถุ์ขึ้นมาทำท่าจะนัดยา มุ้งกลดของข้าพเจ้าบางมาก ในทันใดมีความรู้สึกว่ามีคนมายืนใกล้ๆกลดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้ชำเลืองตาดูเห็นคนมายืนอยู่จริงๆ
ท่านแต่งตัวสวยงาม ยืนชะโงกดูของที่ได้รับมาจากแม่ชีเมื่อตอนบ่ายนั่นเอง ท่าที่ท่านยืนคือขาซ้ายเยื้องไปอยู่หน้า ขาขวาลดลงมาหลัง
ยืนชะโงกดูของในพานเอามือไพล่หลัง ขาใหญ่มาก ข้าพเจ้าชำเลืองดูเห็นแต่ขา ส่วนหัวเข่ามองไม่เห็นเพราะขาของท่านยาว ไม่สามารถจะเห็นเข่าได้ข้าพเจ้านึกรู้ได้ทันทีว่า ท่านคงตามมาดูของ
ข้าพเจ้ายกมือขึ้นพนมและพูดกับท่านว่า "ท่านผู้เจริญที่เคารพ ขณะนี้ของที่ท่านส่งมาให้ดิฉัน ดิฉันได้รับแล้วและได้บูชาไว้กับหลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษีที่ท่านได้ชะโงกดู อยู่นั่นแหละค่ะ ต่อแต่นี้เป็นต้นไปทั้งท่านและดิฉัน จะได้ร่วมสร้างพระมหาวิหารแล้วในเวลา
อันใกล้นี้ ขอท่านจงปกปักรักษาย่าให้ใครมาแย่งชิงเอาไปนะคะ สำนักนี้มีแต่ผู้หญิงท่านผู้มีตาทิพย์จงช่วยสอดส่องดูแลเอาไว้ให้ดี และขอท่านจงโมทนาในความตั้งใจดีต่อพระพุทธศาสนาในครั้งนี้ด้วยเทอญ"
ท่านโมทนาเมื่อข้าพเจ้าพูดจบลงท่านหายวับไปฉับพลัน

นี่ข้าพเจ้าเห็นด้วยตาเปล่า มิได้ห็นด้วยสมาธิ ที่เขียนมาตรงๆอย่างนี้มิได้โอ้อวด ด้วยประการใด เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าจริงๆ
เมื่อผู้ใดอ่านท่านจะเชื่อหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของท่าน สำหรับข้าพเจ้าขอเอาศีลเป็นพยานเท่านั้น
ข้าพเจ้า วางของลงที่โต๊ะนั่งของหลวงพ่อนั่ง ข้าพเจ้าก้มลงกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาหลวงพ่อพูดกับข้าพเจ้าขึ้นว่า "นี่โยม โยมชีจะเอาของมาทำฉันหรือ เห็นเป็นมันวาววับโยม"
ท่าน พูดท่านยิ้มมองดูของ ท่านถามข้าพเจ้าว่า "นั่นอะไร"
ข้าพเจ้า ตอบท่านว่า "ไม่ทราบว่าเป็นอะไรค่ะ โยมปฏิบัติธรรมได้ของสิ่งนี้มาค่ะ หลวงพ่อ โยมนำมาให้หลวงพ่อดู"
หลวง พ่อมองดูแล้วพูดว่า "ดีนะโยม ของนี้เป็นของพันปีมีค่ามหาศาล"
"โยมอยากทราบว่าเป็นอะไรเจ้าค่ะหลวงพ่อ"
หลวงพ่อพูดว่า " ดี.. เอาไปให้ด็อกเตอร์เขาดูบ้างซิ เผื่อเขาจะรู้บ้าง"
ข้าพเจ้าเห็นคนเข้ามาถวายสังฆทานกันมาก จึงถอยออกมาเดินไปหาด็อกเตอร์เอาของให้ดู
ด็อกเตอร์พูดว่า "หลวงพ่อว่าเป็นอะไร ก็เป็นเช่นนั้นแหละครับ"
ข้าพเจ้าลาด็อกเตอร์ออกมานั่ง เมื่อข้าพเจ้านั่งลง หลวงพ่อได้เมตตาสั่งข้าพเจ้าขึ้นว่า
"โยมที่เอาของให้ดู นั่นนะ ของโยมพันปีเก็บไว้ให้ดีอย่าไปทิ้งเสียล่ะ มีค่ามหาศาล"
หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้กราบลาพระเดชพระคุณหลวงพ่อกลับปากช่อง วันหนึ่งนั่งสวดมนต์ พอก้มกราบต้องฟุบลงไปชั่วโมง ช่วงนี้เสวยกรรมหนัก นอนคิดมาคิดไปนึกถึงของ จะเอาไปทำอะไรดี ของสิ่งนี้ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นเลย คิดว่าจะทำอะไรดี ใจก็นึกถึงท้าวธตรฐว่า "จะให้ของ จะให้ช่วย น่าจะให้ของที่รู้จัก ถ้าเป็นทองคำเราจะได้รู้ นี่เอาก้อนอะไรมาให้ก็ไม่รู้มาให้เรา เรายิ่งโง่ๆอยู่ จะนำไปซื้อขายก็ไม่ได้กลัวเขาไม่รู้จัก เมื่อไม่ได้สร้างก็ไม่ต้องสร้าง ตัดขันธ์ห้าดีกว่า"
จึงได้วางก้อนของไว้ข้างตัว พิจารณาขันธ์ห้าย้อนไปย้อนมา จับพุทโธบ้าง จับอานาปานุสสติบ้าง นานพอสมควร

ทันใดก็ได้ยินเสียงข้างหูขวาว่า "ในห่อของนั้นมี ค่ามหาศาลทำไมไม่รีบจัดการขึ้น"
เสียงพูดนั้นดูหนักหน่วงเหมือนดุ ท่านคงจะเคืองข้าพเจ้า ที่ต่อว่าท่านว่าน่าจะเป็นทองคำ ให้มาแล้วยังโง่มากนัก ข้าพเจ้าตกใจลุกขึ้น เรียกแม่ชีเล็กเข้ามาหา บอกกับแม่ชีเล็กว่า "แม่จะทดลองของดู แม่ชีช่วยไปตามโยมแช่มมาเดี๋ยวนี้ บอกว่ามีธุระด่วน"
แม่ชีจึงไปตามโยมแช่มมา ข้าพเจ้าจึงบอกโยมแช่มรีบไปหาตะกั่วมาให้ที ข้าพเจ้าทำพิธีตัดของก่อน

ก่อนตัดก็กราบขอขมาขอทดลอง จึงตัดออกมาก้อนนิดหนึ่งพอสมควร ลองเอาตะกั่วเคี่ยวไฟก่อน ปรากฎว่าตะกั่วละลายเร็ว เทไว้ต่างหากแล้วจึงนำของที่ได้มาต้มเคี่ยวใส่กระทะหลอมดู สิ่งของนี้กว่าจะละลายนานมาก พอละลายออกยิ่งมีรัศมีแวววาวระยิบระยับหลายสี หลายแสง อย่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก
เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าจึงน้อมจิตถึงท่านเจ้าของขึ้นว่า "ท่านจะให้ทำเป็นอะไรขอให้บอกมา"
ข้าพเจ้ามีความรู้สึกขึ้นทันทีว่า "ไปทำพระ"
พอดีคุณสว่างมาจากจันทบุรี จึงได้บอกคุณสว่างขับรถไปกรุงเทพฯ เมื่อถึงกรุงเทพฯให้หาร้านที่เขาพิมพ์พระ เมื่อติดต่อทำพิมพ์พระ ก็เข้าโรงรีดของ

ในระหว่างที่รีดของอยู่นั้น แสงรัศมีเกิดวาววับแสงสีเกิดขึ้นหลายสี เป็นสิ่งสะดุดใจแก่ผู้รีด
ผู้รีดคนหนึ่งพูดกับเพื่อนว่า "เฮ้ย นี่ไม่ใช่ตะกั่วนี่หว่า .....เป็นอะไรวะ"
เพื่อนอีกคนตอบ "กูก็ไม่รู้เหมือนกัน"
ข้าพเจ้ายืนดูอยู่ใกล้ๆ เมื่อได้ยินเขาพูดข้าพเจ้าจึงนิ่งเสีย หันหน้าไปทางอื่นเพื่อให้เรื่องจบ เมื่อรีดเสร็จแล้วจึงนำของไปเข้าเครื่องพิมพ์ ข้าพเจ้ากราบอารารธนาองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหมด พระอรหันต์ทั้งหมด ครูบาอาจารย์ หลวงปู่ปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หลวงพ่อสมเด็จโต พรหมรังสี และครูบาอาจารย์ทั้งหมด ท่านพ่อปู่พระอินทร์ ท่านแม่ย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ศรี ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ มีท่านท้าวธตรฐและเทวดาทั้งหมด ขอเชิญท่านมาร่วมในพิธีสร้างพระมหาวิหารโคตรเศรษฐีของข้าพเจ้าในครั้งนี้ ด้วยเถิด ข้าพเจ้ายืนคุมจนกระทั่งเขาทำเสร็จ ได้พระเครื่องจำนวน 285 องค์ ข้าพเจ้าตัดเอามาเพียงเล็กน้อย ไม่กล้าทำมาก เกรงว่าจะไม่มีใครศรัทธาเพราะเป็นเพียงแม่ชี หาคนศรัทธาน้อย

เมื่อทำเสร็จ ข้าพเจ้านำพระเครื่อง 285 องค์นี้ ไปหาพระเดชพระคุณหลวงพ่อ (ขอข้ามไปบ้างนะครับ)
เมื่อทุกคนไปกันหมดแล้วเหลือแต่คณะของข้าพเจ้า หลวงพ่อหันมาทางข้าพเจ้าถามว่า "โยมชีมีอะไรจะคุยกับฉันหรือ"
ข้าพเจ้าตอบว่า "มีเจ้าค่ะหลวงพ่อ"
หลวงพ่อพูดขึ้นว่า "นั่นเอาอะไรมาด้วยล่ะ เอาผ้าคลุมไว้นั่นน่ะ"
เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังพระเดชพระคุณหลวงพ่อจึงตอบว่า "คือโยมเคยนำของที่ได้จากการปฏิบัติไปให้หลวงพ่อดูครั้งหนึ่งที่บ้านสายลม แล้วเจ้าค่ะ ครั้นต่อมาหลังจากนั้นโยมได้จัดทำเป็นรูปพระขึ้น"
หลวงพ่อว่า "เออ..ว่ามา"
ข้าพเจ้ากราบเรียนให้ท่านทราบว่า "พระของโยมทำขึ้นครั้งนี้ไม่เหมือนใคร ทำเป็นสองหน้า หน้าหนึ่งทำเป็นพระทุ่งเศรษฐี อีกหน้าหนึ่งทำเป็นพระศิวลีค่ะหลวงพ่อ"
หลวงพ่อเมื่อฟังข้าพเจ้าพูดจบลง หลวงพ่อได้เอ่ยขึ้นว่า"ไหนว่าไม่เหมือนของใคร ยกพานมาให้ฉันดูหน่อยซิ"
ข้าพเจ้ากราบเรียนให้ท่านทราบว่า "โยมทำครั้งนี้ 285 องค์เจ้าค่ะหลวงพ่อ"
เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อรับพานพระแล้ว หลวงพ่อได้หยิบพระดู ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง และได้กล่าวขึ้นว่า "เออ..เข้าใจ..เข้าใจ ข้างหนี่งเป็นทุ่งเศรษฐี ข้างหนึ่งพระศิวลี เข้าใจจริงๆ เข้าใจจริงๆโยมนี่"
"นี่นะโยม พระของโยมนี่ ถ้าผู้ใดได้ไปบูชา จะเป็นเศรษฐี โคตรเศรษฐี จนไม่เป็น ดีมากนะโยมนี่ เป็นคนมีปัญญา เอาล่ะนะ ฉันจะบอกให้ พระของโยมที่ทำมาทั้งหมดนี้ ถึงแม้จะไม่มีรูปพระเลย ของๆโยมก็ขลัง เขาสำเร็จอยู่ในตัวเขาแล้ว ให้ใครเอาไปทำอะไรๆ ให้ยิ่งกว่าทำ คำว่าเสื่อมไม่มี ของๆโยมนี้ใช้ได้ทุกอย่างเลยครบหมด เนื้อเกลี้ยงๆก็ขลัง"

พระเดชพระคุณหลวงพ่อถามต่อขึ้นว่า "เมื่อขณะที่ทำพระใครคุมอยู่"
ข้าพเจ้ากราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อขึ้นว่า "โยมขออาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดทุกๆพระองค์ ครูบาอาจารย์ทั้งหมด เทวดาทั้งหมด โยมคุมอยู่ด้วยเจ้าค่ะหลวงพ่อ"
พระเดชพระคุณได้กล่าวขึ้น "เออ มันฉลาดอย่างนี้ เอาล่ะนะ ฉันจะถามโยมว่า ก่อนที่โยมจะได้ของสิ่งนี้มา โยมทำอย่างไรถึงได้ของ"

ข้าพเจ้ากราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อขึ้นด้วยความเคารพยิ่งขึ้นว่า "พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นครูบาอาจารย์ของโยม โยมมีความเคารพเป็นที่สุด โยมขอกราบเรียนด้วยความจริงทุกประการด้วยเคารพเจ้าค่ะ หลังจากออกพรรษาในปี 2530 โยมได้มากราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เรื่องคุณวิรัช มั่งเรืองสกุล ได้ถวายที่ดินให้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมในปีนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้อนุญาตให้โยมรับที่ดินไว้ จึงได้จัดการก่อสร้าง มีกุฏิ 4 หลัง ไว้เป็นที่พักสำหรับแม่ชีที่อยู่ประจำ มีห้องน้ำห้องส้วมเสร็จ ได้ต่อศาลาไว้ปฏิบัติธรรม ทำวัตรเช้า-เย็น 1 หลัง ห้องน้ำห้องส้วม โรงอาหาร เครื่องต่อใช้ไม่ป่า ต้นกระถินณรงค์เป็นเสา ต่อมาปลวกกินจนเสาขาด หลังคาทั้งหมดมุงด้วยหญ้าคาผุ เวลาฝนตกรั่วต้องเอาผ้าพลาสติกคอยกันกั้นไว้ ฝาศาลาสวดมนต์ใช้ผ้าเหลืองจีวรพระที่ท่านไม่ใช้ ขอมากั้นบังฝน พอลมตีมาลำบากมากทุลักทุเล พระพุทธรูปมี 28 พระองค์ มีโยมกรุงเทพฯ เขามาถวายไว้บูชาอีก 1 องค์ รูปเหมือนหลวงปู่ปานอีก 1 องค์ รูปเหมือนพระเดชพระคุณหลวงพ่ออีก 1 องค์ รวมทั้งหมด 31 องค์ค่ะ"
โยมเห็นพระพุทธรูปเปียกฝน โยมเกิดสังเวชใจมากที่สุด โยมคิดขึ้นในตอนนั้นว่า จะต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น ตั้งแต่ปฏิบัติมายังไม่เคยจะลองทำประโยชน์อะไรให้กับพระศาสนาเด่นชัดขึ้นมา เลย ในคืนนั้นเอง โยมตั้งใจเต็มกำลังการปฏิบัติจะได้ขั้นไหน ตอนไหนก็ตามจะไม่คำนึงถึง ตั้งใจมั่นคงเด็ดเดี่ยว เข้านั่งสมาธิแล้ว เจริญเมตตาไปในทิศทั้งปวง ทั่วโลกธาตุ ถึงหมู่สัตว์ทั้งหลายไม่มีที่ประมาณ จงถึงความสุขด้วยพระพุทธานุภาพ จงถึงความสุขด้วยพระธรรมานุภาพ จงถึงความสุขด้วยพระสังฆานุภาพ ด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแต่อดีดถึงปัจจุบัน ขอท่านทั้งหลายจงโมทนาโดยทั่วกัน

ตั้งจิตระลึกนึกน้อมถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหมด พระธรรมคำสอนของพระองค์ที่ข้าพระพุทธเจ้าปฏิบัติตามอยู่ขณะนี้ นึกถึงพระอริยสงฆ์ทั้งหมด ครูบาอาจารย์ทั้งหมด มีหลวงปู่ปาน หลวงพ่อด้วย และสมเด็จโตพรหมรังสี และเทวดาทั้งหมด มีปู่พระอินทร์ ท่านย่า ท่านแม่ ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่พระองค์ มีท่านท้าวธตรฐ คือท่านท้าวธตรฐองค์นี้ เมื่อสมัย พ.ศ. 2514 ท่านมาปรากฏให้โยมเห็นค่ะหลวงพ่อ ท่านบอกชื่อท่านให้โยมรู้จัก ท่านชื่อว่าท่านท้าวธตรฐ ถ้าโยมมีอะไรจะให้ท่านช่วยเหลือ ท่านให้โยมนึกถึงชื่อท่าน ตอนก่อนโยมไม่เชื่อเท่าไรนัก ครั้นโยมได้มาพบหลวงพ่อได้ฟังเทปสมาทานหลวงพ่อ และได้ฟังคำสอนของหลวงพ่อ โยมจึงได้เข้าใจ โยมจึงนึกถึงท่านให้ท่านมาช่วยในกิจของพระศาสนา
โยมเอาจิตน้อมถึงทานบารมี นึกถึงทานที่ให้แล้ว ศีลบารมี นึกถึงศีลที่ได้สมาทานจะรักษาไว้ให้ดี ไม่ทำลายศีลจนตลอดชีวิต ปัญญาบารมี จะทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งแห่งขันธ์ห้า ให้เข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้ เนกขัมบารมี การถือบวชของข้าพเจ้าบวชครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย คำว่าสึกจะไม่มี จะช่วยกิจของพระศาสนาตลอดชีวิต
วิริยะ บารมี จะขยันทำจิตให้เข้าถึงพระนิพพาน
สัจจะ บารมี ข้าพเจ้าขอตั้งจิตจะพูดอย่างไหนทำอย่างนั้นตลอดชีวิต
อธิษฐานบารมี คำอธิษฐานของข้าพเจ้าที่ตั้งใจมั่นคงครั้งนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ถอยออกจนตลอดชีวิต
ขันติบารมี ข้าพเจ้าจะอดทนในสิ่งจะเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าทุกประการ
เมตตาบารมี ข้าพเจ้าขอทรงเมตตาตลอดทั่วโลกธาตุ แม้แต่ผู้นั้นจะคิดทำร้ายข้าพเจ้าก็ตาม
อุเบกขา บารมี ข้าพเจ้าจะวางเฉยด้วยประการทั้งปวง จะทำสติให้รู้เท่าทันต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะดีหรือร้ายก็ตามจะไม่หวั่นไหวกับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น จะทำสติให้รู้ว่านั่นคืออนิจจัง นั่นคืออนัตตา จะทรงกำหนดจิตไม่คลอนแคลนไว้ด้วยความเคารพตลอดชีวิต บารมี 10 ทั้งหมดที่บำเพ็ญมาเพื่อความหลุดพ้นไม่ต้องกลับมาเกิด

จงมาช่วยข้าพเจ้าด้วยเวลานี้ ข้าพเจ้ามีทุกข์เดือดร้อน
แต่ทุกข์ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ ไม่เหมือนผู้ครองเรือน ขณะนี้ข้าพเจ้ากำลังได้รับความทุกข์ เพราะศาลาที่ประดิษฐานองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและที่ปฏิบัติธรรมของ ข้าพเจ้าชำรุดทรุดโทรม ลมมาก็ต้องหาไม้มาค้ำไว้
ถ้าการขอครั้งนี้เห็นว่าข้าพเจ้ายังไม่หมดตัณหา และเป็นเรื่องประโยชน์ส่วนตัวของข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายไม่ต้องช่วย
ถ้าการขอของข้าพเจ้าในครั้งนี้ ถ้าท่านทั้งหลายเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ สะอาดจริงแล้ว ขอท่านทั้งหลายและท้าวธตรฐ จงช่วยข้าพเจ้าโดยด่วนด้วยเจ้าค่ะ
ครั้นต่อมาโยมเข้านั่งสมาธิและเข้าฌานเต็มกำลัง จากฌานที่ 1 ขึ้นไปถึงฌานที่ 4 ถอยรองลงมาจนถึงฌานที่ 1 หยุดอยู่แค่อุปจารสมาธิ แล้วขอดังเช่นเดิม เข้าฌานต่อไปจนถึงที่สุด แล้วถอยลงมาแค่อุปจารสมาธิ แล้วขออีก ทำอยู่อย่างนี้ประมาณ 10 หรือ 20 วัน โยมไม่ได้นับ ถือว่าท่านให้ก็เอา ท่านไม่ให้ก็แสดงว่าโยมยังดีไม่พอ

หลวงพ่อเมื่อได้ฟังข้าพเจ้าเล่าเรื่องให่ท่านฟังจบลง ท่านจึงได้เอ่ยขึ้นว่า "โยมรู้ไหมว่า ของที่โยมได้มานั้นเป็นของใคร ฉันจะบอกให้นะโยม ของที่โยมได้มานั้นเป็นของๆท่านผู้สำเร็จท่านทำไว้แล้ว ท่านก็ฝากกับเทวดา เมื่อท่านฝากกับเทวดา ท่านสั่งกับเทวดาไว้ว่า ถ้าผู้ใดมีบุญบารมีเห็นสมควรให้ ก็ขอเทวดาจงให้ของสิ่งนี้เถิด นี่โยมจึงได้มายังไงล่ะโยม"

ข้าพเจ้า กราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อ "ช่วยเมตตาปลุกเสกพระเครื่องของโยม เพื่อเป็นศิริมงคลด้วยเถิดเจ้าค่ะ"
พระเดช พระคุณหลวงพ่อได้พูดขึ้นว่า "เสกทำไมอีกเล่าโยม ของเขาดีอยู่แล้วถ้าโยมจะให้ฉันปลุกเสกละก็เอาอย่างนี้ดีกว่า โยมนั่นแหละไปทำขึ้น เพราะอะไรๆโยมก็ทำได้หมดแล้ว จะเอาอะไรอีกเล่า "
ข้าพเจ้ากราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อขึ้นว่า "จะต้องใช้มนต์บทไหนสวดเล่าค่ะหลวงพ่อ"
หลวง พ่อพูดแกมดุขึ้นว่า "ก็อีตอนได้ของมานั่นแหละสวดบทไหนเล่า"

ข้าพเจ้ากราบขอขมาหลวงพ่อ จึงได้เข้าใจว่าใช้พลังจิตนี่เอง ไม่โดนดุเอาความโง่ออกไปปัญญาไม่เกิด หมดเวลาหลวงพ่อกลับเข้าที่พัก ท่านโอเดินย้อนกลับมาหาข้าพเจ้า
ท่านพูดกับข้าพเจ้าขึ้นว่า "โยมชีเอาพระของโยมเก็บไว้ให้อาตมาสัก 10 องค์นะ" ข้าพเจ้าตอบ "
ได้ค่ะ แต่พระของโยมไม่ใช่ราคาเดียวกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อนะ เพราะโยมจะต้องการสร้างพระมหาวิหาร ต้องให้บูชาองค์ละ 10,000 บาทนะคะท่าน"
เมื่อท่านโอได้ฟังข้าพเจ้าบอกราคา ท่านโอจึงได้พูดขึ้นว่า "งั้นฉันจอง 2 องค์นะ"
เวลานี้ท่านโอยังมีชีวิตอยู่ที่วิหาร 100 เมตร ข้าพเจ้าขอย้อนรำลึกนึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา ทั้งหลาย หลวงพ่อรู้หมด หลวงพ่อรู้แจ้ง บริสุทธิ์โดยไม่ต้องสงสัย พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นพระที่ควรกราบไหว้บูชา พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นเนื้อนาบุญของโลก
ราคาเปิดประมูล100 บาท
ราคาปัจจุบัน1,550 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ50 บาท
วันเปิดประมูล - 18 ก.ย. 2554 - 16:24:28 น.
วันปิดประมูล - 21 ก.ย. 2554 - 21:35:11 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลโอ๋หัดส่อง (1.1K)(3)


(0)
 
ราคาปัจจุบัน :     1,550 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     50 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    tree05 (86)(4)

 

Copyright ©G-PRA.COM
www1