(0)
โพธิสัตว์นาคปรกพังพระกาฬเจ็ดเศียรเนื้อคันฉ่อง ปี49ท่านสรรเพชญปี2549ใหญ่+เล็ก








รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่องโพธิสัตว์นาคปรกพังพระกาฬเจ็ดเศียรเนื้อคันฉ่อง ปี49ท่านสรรเพชญปี2549ใหญ่+เล็ก
รายละเอียดรูปหล่อลอยองค์ ปรก 7 เศียร ผสมเนื้อคันฉ่อง ปี 49
กล่าวกันว่า ที่อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช มีผู้พบโบราณวัตถุสำคัญชื้นหนึ่งเรียกว่า “ คันฉ่องสำริดจีน ” มีอายุเก่าแก่ถึงสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก นักประวัติศาสตร์ได้สืบสาวราวเรื่องปรากฎหลักฐานในพงศาวดาร จีนสมัยราชวงศ์ฮั่น ซึ่งมีอำนาจปกครองจักรวรรดิ์จีนเมื่อ 206 ปีก่อนคริสตกาล หรือเมือ่ราว พ.ศ.300 เศษ จดบันทึกว่าในสมัยนั้น จักรพรรดิ์แห่งราชวงศ์ฮั่น ได้ส่งราชฑูตจีนเดินทางไปติดต่อทางพระราชไมตรีและการค้า กับอินเดีย ตลอดจนประเทศต่าง ๆ ในแถบทะเลจีนใต้ จึงเชื่อกันว่าคณะฑูตจีนดังกล่าวคงเดินทางผ่านดินแดน ประเทศไทย ซึ่งในสมัยนั้นจีนเรียกว่า ประเทศกิมหลิน หรือในภาษาอินเดียรู้จักกันในนาม “สุวรรณภูมิ ” มี หลักฐานการติดต่อซื้อขายไข่มุก กระดองเต่าทะเล ไม้หอม ผลิตภัณฑ์พื้นเมืองที่มีค่าหายาก โดยแลกเปลี่ยนกับ ทองคำ ผ้าไหม ผ้าแพรจีน นอกจากนั้นจดหมายเหตุจีน ยังระบุว่าบ้านเมืองในแถบทะเลใต้ ได้ติดต่อเป็นไมตรี กับจีนมาแล้วตั้งแต่รัชกาลจักรวรรดิ์วู ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทราบแน่นอนว่าประเทศกิมหลิน หรืออาณาจักรสุวรรณ ภูมิ เป็นเมืองท่าเรือมีความเจริญรุ่งเรือง มาแล้วตั้งแต่สมัยต้นพุทธกาล เพราะสอดคล้องกับหลักฐานทางอินเดีย ที่กล่าวถึงพระเจ้าอโศกมหาราชส่งคณะทูตและสมณทูตเดินทางเข้ามาเผยแพร่พุทธศาสนา แต่มีปัญหาถกเถียงกัน ว่า สุวรรณภูมิตั้งอยู่บนคาบสมุทรอินโดจีนตามความเห็นของนักโบราณคดีไทย หรือว่าตั้งอยู่ในภาคใต้กันแน่ เพราะคัมภีร์เก่าแก่ของอินเดีย กล่าวถึงรายชื่อเมืองท่าเรือที่มีชื่อเสียงที่ตั้งอยู่บริเวณแหลมทอง ทางภาคใต้ของ ประเทศไทย เช่นคัมภีร์มหานิเทศ ตอนหนึ่งกล่าวว่า “ เมืองแสวงหาโภคทรัพย์ย่อมแล่นเรือไปในมหาสมุทร ไปคุมพะ ตักโกละ ( ตะกั่วป่า ในจังหวัดพังงา ) ชวา กมะลี ( ตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราช ) ....สุวรรณภูมิ ” รายชื่อบ้านเมืองเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เส้นทางการเดินเรือโบราณจากเมืองท่าอเล็กซานเดรีย ที่ตั้งอยู่ ชายฝั่งทะเลแดงในประเทศอียิปต์ เดินทางผ่านประเทศอินเดีย เลียบชายฝั่งทะเลตะวันตกของประเทศไทย แล้ว อ้อมแหลมมาลายูเข้ามายังชายฝั่งอ่าวไทย ต่อจากนั้นแล่นเรือเลียบชายฝั่งเวียดนามไปสิ้นสุดปลายทางที่เมืองกวาง ตุ้งทางตอนใต้ของประเทศจีน อันเป็นสายคมนาคมทางการค้าและอารยธรรมเก่าแก่ที่สุดในโลก เส้นทางการเดิน เรือนี้ผ่านทางเรือทางภาคใต้ของประเทศไทยหลายแห่งดังกล่าว การค้นพบคันฉ่องสำริดจีน กลองมโหระทึก และเครื่องมือเครื่องใช้สมัยราชวงศ์ฮั่น อีกหลายอย่างในดินแดนภาคใต้ ถือว่าเป็นหลักฐานสำคัญยืนยันว่าดิน แดนทางภาคใต้ของประเทศไทยเคยติดต่อกับจีนมาแล้วตั้งแต่สมัยต้นพุทธกาล พงศาวดารจีนเรียกบ้านเมืองใน แถบนี้ว่า ประเทศกิมหลิน แต่เดิมไม่มีใครทราบว่า คันฉ่องสำริดจีน มีความเป็นมาอย่างไร มีความสำคัญทางการเมืองและศักดิ์ สิทธิ์ แค่ไหน เพราะนอกจากคันฉ่องสำริดจีนอันเก่าแก่ซึ่งพบในอำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราชแล้ว ต่อมา มีผู้พบคันฉ่องสำริดแบบต่าง ๆ อีกหลายแห่ง ทั้งในประเทศไทยและบ้านเมืองใกล้เคียง นักโบราณคดีพยายามสืบ สาวราวเรื่อง คันฉ่องสำริดจีน ศิลปโบราณ วัตถุขนาดเล็ก แต่ฝีมือการหล่อหลอมโลหะธาตุและการออกแบบ ลวดลายด้านหลัง ตลอดจนรูปแบบ ได้งามเป็นเลิศ พบว่า คันฉ่องสำริดจีน เป็นโบราณวัตถุที่เก่าแก่ที่สุด และเป็นศิลปะประติมากรรมระดับสุดยอดอย่าง หนึ่งในวัฒนธรรมสำริดจีน ซึ่งสืบทอดอารยธรรมอันรุ่งเรืองมาก่อนสมัยพุทธกาล ตั้งแต่เมื่อครั้งจักรวรรดิ์จีน ยังแตกแยกกันอยู่เป็นแคว้นใหญ่น้อย มีขุนศึกเป็นหัวหน้าปกครองบ้านเมือง เรี่ยกกันว่า ยุคแห่งนักรบ ได้พัฒนาการทางเทคโนโลยีการหล่อหลอมโลหะจนถึงขั้นคลาสสิค ในสมัยราชวงศ์ฮั่น เมื่อปฐมจักรพรรดิ์แห่ง ราชวงศ์ฮั่น รวบรวมแผ่นดินจีนเป็นเอกภาพ มีความมั่นคงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการทหาร โอรส แห่งสวรรค์พระองค์นี้จึงเริ่มต้นแผ่กฤษดาภินิหาร ไปยังนานาประเทศ ดังปรากฎหลักฐานการส่งทูตไปเจริญทาง พระราชไมตรีและการค้ากับประเทศต่าง ๆ กล่าวกันว่าประเพณีการส่งทูตเดินทางไปติดต่อกษัตริย์ต่างแดนนั้น นอกจากพระราชสาสน์และเครื่อง ราชบรรณาการของฮ่องเต้แล้ว ยังมีสิ่งสำคัญที่สุดอีกประการหนึ่งซึ่งเปรียบเสมือนหนึ่งเป็นตราแต่งตั้งของสมเด็จ พระจักรวรรดิ ์ ก็คือ คันฉ่องสำริด ราชทูตจีนในระดับเอกอัครราชทูต หรือ อุปทูต จะต้องถือติดตัวไว้เสมือนดัง เป็นวัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์ ที่ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้ ทั้งนี้เพราะว่าเมื่อฮ่องเต้พระองค์ใดเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ พระองค์จะทรงสร้างคันฉ่องสำริดขึ้น เป็นตราประจำรัชกาลของพระองค์ โดยให้ช่างออกแบบลวดลายประดับ ประดาด้านหลังอย่างวิจิตรพิศดาร โดยมีห่วงร้อยอยู่ตรงกลาง ส่วนใหญ่มีขนาดในราว 13 - 14 เซ็นติเมตร อี่กหน้าหนึ่งเป็นหน้าราบไม่มีลวดลายใด ขัดเป็นมันวาวเหมือนดังกระจกเงา เรียกกันว่า “ คันฉ่องสุริยัน ” ส่วนอีกแบบหนึ่งมีขนาดย่อมลงมา ทำเป็นรูปวงกลมเหมือนกัน แต่ด้านหลังเรียบไม่มีลวดลาย คงมีเพียงแต่ ห่วงสำหรับร้อยเชือกหรือสร้อยไว้ตรงกลาง เท่านั้น ด้านหน้าทำเป็นกระจกเงาเรียกว่า “ คันฉ่องจันทรา ” สมเด็จพระจักรพรรดิ์จีนและพระราชินี จะฉายพระพักตร์ของพระองค์ประทับไว้ในคันฉ่องสำริดนั้นแล้ว พระราชทานให้แก่ราชทูตนำติดตัวไปเจริญทางพระราชไมตรีกับต่างชาติ ด้วยเหตุนี้คันฉ่องสำริดจีน ทั้งในแบบ สุริยันและจันทรา อาจถือได้ว่าเป็นวีซ่า หรือพาสปอร์ตอันศักดิ์สิทธิ์ ของจีนที่ใช้เดินทางไปยังประเทศทั้ง หลายในโลกมาตั้งแต่สมัยเริ่มต้นจักรวรรดิ์จีน จนกระทั่งสิ้นราชวงศ์ชิง ในกลางพุทธศตวรรษที่ 24 คันฉ่องสำริดจีน นอกจากถือว่าเป็นวีซ่าแล้ว ยังเป็นตราภูมิคุ้มกันประจำตัวผู้ถือดวงตรานั้นอีกด้วย หากราชทูตหรือผู้ถือดวงตรานั้นถูกจับกุมคุมขังด้วยเหตุใดก็ตาม ถ้าผู้จับกุมทราบว่าเป็นดวงตราสุริยัน จันทรา ขององค์พระจักรพรรดิ์แล้ว จะต้องคุกเข่าลงทำความเคารพและรีบปล่อยตัวผู้นั้นไปในทันที คันฉ่องสำริดยัง อาจใช้เป็นเครื่องส่งสัญญาณในทะเลทรายหรือในมหาสมุทรมาก่อนนักวิทยาศาสตร์ประดิษฐ์คิดค้นคลื่นสัญญาณ ต่าง ๆ มาใช้ในสมัยปัจจุบันเสียอีก ความศักดิ์สิทธิ์ของคันฉ่องสำริดจีน ซึ่งมีความหมายคล้ายกับ พระผงสุริยันจันทรา วัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช ที่องค์จตุคามรามเทพ สั่งให้สร้างขึ้นมา และยังเฉลยคำถามที่ว่าทำไม ชาวจีนในมาเลย์เซีย และสิงคโปร์ ถึงได้เข้ามาเช่าหาพระผงสุริยัน จันทรากลับไปฝั่งประเทศของตนจำนวนมาก เหตุผลหนึ่งในเรื่องนี้กล่าวไว้ก็คือ เซียนซือทั้งหลายที่ เป็นอาจารย์ของผู้คนเหล่านั้นสั่งให้หามาบูชา เพราะเข้าใจในเรื่องคันฉ่องสำริดจีน ว่ามีความเกี่ยวพันกับระบบ สุริยะจักรวาล และดาว 12 นักษัตร เหมือนกับพระผงสุริยัน จันทรา และเวลานี้ได้ปรากฏมีการสร้างวัตถุมงคลอันศักดิ์ยิ่ง และควรค่าแก่การหาไว้ครอบครองเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งวัตถุมงคลที่ได้จัดสร้างขึ้นมานั้นเป็นความพยายามและตั้งใจเป็นอย่างสูง เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์และเป็น วัตถุมงคลที่ล้ำค่ายิ่ง จะว่าไปแล้วทุกท่านที่กำลังเสาะหาของที่วิเศษสุดไว้ใช้และไว้ในครอบครองไม่น่ามองข้ามเป็นอย่างยิ่ง สิ่งนั้นคือ พระรูปหล่อท่านพ่อองค์จตุคามรามเทพ พิมพ์ปรก 7 เศียร ขนาดห้อยบูชา เนื้อนวะโลหะผสมคันฉ่อง โดยมีเนื้อคันฉ่องสำริดอันวิเศษสุดผสมอยู่ด้วยได้ออกมาให้เช่าบูชาในเวลานี้ มีให้จองสองขนาด เล็ก/ใหญ่ ( ชนิดห้อยคอ ) ทำพิธีปลุกเสกที่ยอดเขาศิลาชัย บ้านศิลา เมืองศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ 27 เม.ษายน 2549 ปรากฏการณ์ที่นอกเหนือธรรมชาติบังเกิดให้เห็นประสบมาแล้วของทุกๆท่านที่เข้าร่วมพิธีสำคัญในครั้งนี้โดยทั่วกัน ทั้งนี้ทางกระผมได้บันทึกภาพเป็นสำคัญทุกขั้นตอน เนื้อพระสวยงามมากควรค่าแก่การบูชา เป็นเนื้อนวะผสมเต็มสูตรฉะนั้นเนื้อหาจึงเน้นหนักไปทางโลหะมวลสารที่สำคัญยิ่ง โดยจะมีเนื้อในรุ่นเก่าๆ ผสมผสานอยู่มากมาย รุ่นนี้จึงขอบอกว่าได้เน้น ทั้งเนื้อหา พิธีการ พุทธคุณ และวันนั้นขณะเริ่มพิธีการปลุกเสก ได้มีกลุ่มเฆมมาบดบังในปรัมพิธีอย่างแน่นหนา เมื่อได้เวลาอัญเชิญองค์พ่อประทับทรง พระอาทิตย์ได้บังเกิดแสดงภาพทรงกรด มีรัศมีเป็นสายรุ้งบังเกิดให้ทุกๆท่านไห้เห็นอย่างเด่นชัด มีกระแสลมพัดโชยมาเสมือนดังเพิ่มความเย็นที่ออกมาจากตู้เย็นอย่างใดอย่างนั้น เป็นพิธีที่มีความร่มเย็นมาก และตำแหน่งทิศทางของการตั้งทิศในการปลุกเสกในครั้งเป็นจุดตั้งทิศที่เพิ่มเน้นไปในทิศทางของขุมทรัพย์อันอุดมสมบูรณ์ยิ่ง พ่อบอกว่าบูชาแล้วจะบังเกิดทรัพย์สินอย่างมากมาย สอบถามทุกท่านที่เข้าไปร่วมพิธีในครั้งนี้กล่าวเป็นเสียงเดียวว่า คุ้มค่าและประทับใจเป็นที่สุด
ราคาเปิดประมูล3,000 บาท
ราคาปัจจุบัน3,550 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ50 บาท
วันเปิดประมูล - 19 ก.ย. 2550 - 00:59:19 น.
วันปิดประมูล - 23 ก.ย. 2550 - 17:38:11 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลมีเงินมีทอง (5.9K)(2)


(0)
ข้อมูลเพิ่มเติม 1 - 19 ก.ย. 2550 - 00:59:58 น.
.


.


 
ราคาปัจจุบัน :     3,550 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     50 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    varodom (426)

 

Copyright ©G-PRA.COM
www1