ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : นำประวัติพระเกจิ ที่น่าสนใจอีกรูปหนึ่ง มาแนะนำให้รู้จักกันครับ (หลวงปู่ตี๋ จ.สุพรรณบุรี) ตอนที่ 3

(D)
ตอนที่ 1
https://www.g-pra.com/webboard/show.php?Category=general_talk&No=163982

ตอนที่ 2
https://www.g-pra.com/webboard/show.php?Category=general_talk&No=164473

หลักฐานที่ปรากฏที่ทราบกันก็คือมีพระของหลวงพ่อกวยตกค้างที่หลวงปู่หลายรุ่น รวมทั้งพระที่หลวงปู่สร้างถวายให้หลวงพ่อกวยปลุกเสก ก็มีอยู่มากมายหลายรุ่น ถ้านับมาถึงปัจจุบันหลวงปู่นั้นน่าจะเป็นศิษย์เพียงรูปเดียวของหลวงพ่อกวยที่มีดีพอที่จะประกาศเกียรติคุณอาจารย์จากชัยนาท ได้อย่างเต็มภาคภูมิ โดยเฉพาะการลงปลัดขิกนั้น หลวงปู่สามารถทำได้ขลังขนาดเอาไปเทลงน้ำให้คนไล่จับ หรือการสักยันต์ที่หลวงปู่เรียนมาจากหลวงพ่อกวยนั้นเข้มขลังมาก เรื่องการสักยันต์ของหลวงปู่นี่ มหาตู่ ชอบหนักหนา โดยเฉพาะถ้าสักเป็นรูป เสือสิงห์ ที่มีทางมหาอำนาจแล้วละก็ ต้องมีเรื่องฮือฮาทุกที โดยแกมักจะสังเกตุได้ว่าบรรดาหมาวัดทั้งหลายที่ชอบนอนอยู่บนศาลานั้น ถ้าหากว่าวันใดก็ตามถ้าหลวงปู่สักยันต์อยู่บนศาลา ก็มีอันให้ หมู หมาทั้งหลายเลี่ยงหลบแตกตื่นกันไปคนละทิศทาง ไม่เคยปรากฏว่ามีหมาตัวใดเสนอหน้าอยู่ให้เห็นบนศาลาแม้แต่ตัวเดียว ความคิดพิเรนๆของแกที่ชอบแกล้งหมา ตามประสาคนที่ไม่มีอะไรทำนั้น สามารถพิสูจน์ความขลังของหลวงปู่ได้ดีประการหนึ่ง ครั้นพอถึงเวลาที่มีคนมาสักยันต์กับหลวงปู่ มหาแกก็จะเที่ยวไปต้อนพวกไอ้ตูบทั้งหลายขึ้นมารวมกันบนศาลา พอหลวงปู่ท่านเริ่มลงอักขระกำกับเสือ สิงห์ต่างๆ ที่สักบนหลังลูกศิษย์แค่อึดใจเดียว บรรดาหมาที่อยู่บนศาลาจะเริ่มชะงักหูตั้งหางตกราวกับกำลังกลัวอำนาจอะไรสักอย่าง และสุดท้ายก็วิ่งแตกตื่นลงศาลาเผ่นแนบกันวุ่นวาย ปล่อยให้มหาตู่ยืนหัวเราะชอบอกชอบใจอยู่คนเดียว น่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งสำหรับพระเก่งๆทั้งหลายนั้น เท่าที่ได้ยินมา ถ้าหากว่าเลี้ยงสัตว์แล้วมักจะมีดีกันทั้งนั้น เรียกกันว่า เลี้ยงขึ้น หลวงปู่ก็เช่นกัน ท่านเลี้ยงหมาเยี่ยม เลี้ยงลิงได้สุดยอด มีหมาอยู่ตัวหนึ่งแสนรู้มาก เรียกว่าหมาตาเหลือง ไอ้ตัวนี้ชอบนอนเฝ้าที่เชิงบันไดศาลา ถ้าใครมาสักยันต์กับหลวงปู่ ถ้าลงทางเมตตามหานิยมนั้นไม่เป็นไร ถึงลงศาลาเดินผ่านมามันจะนอนเฉยไม่สนใจ แต่ถ้าใครได้ทางคงกระพันกันมา พอลงบันไดมาปุ๊บมันกระโดดงับปั๊บลองของทันที มันฟัดกางเกงขาดทุกราย เหมือนจะรู้และช่วยหลวงปู่ลองวิชา เพราะว่าไม่มีใครถูกกัดเข้าแม้แต่รายเดียว เรื่องสักยันต์นี่แม้จะโด่งดังในหมู่ชายชาตรีย่านนั้นกันพอประมาณก็ตามที แต่ผลสุดท้ายหลวงปู่ก็ตัดสินใจเลิกสักยันต์มานาน โดยเฉพาะที่สักเป็นตัว จำพวก เสือ สิงห์ นั้น ท่านเลิกเด็ดขาด เห็นท่านบ่นว่าพอได้ของดีกันไปแล้วไม่รู้ว่าทำไมเพราะสุดท้ายแล้วไอ้พวกที่สักเสือสักสิงห์ไปนั้นไม่มีใครได้ดีกันสักราย มีอันต้องติดคุกติดตารางเป็นเสือเป็นสางไปกันหมด

ดังที่ว่าไว้เรื่องที่หลวงปู่เลี้ยงลิงได้สุดยอดนั้น อยู่เรื่องมีอยู่ว่า ตอนที่อยู่เขาเขียวที่มั่นสุดท้ายนั้น ท่านมีลิงอยู่สองตัว ตัวหนึ่งเคยเป็นลิงอยู่วัดหลวงพ่อกวยดุเอาเรื่อง พอสิ้นหลวงพ่อกวยก็ไม่มีใครกำราบมันอยู่ จะมีก็แต่หลวงปู่เท่านั้น ต่อมาเกิดเรื่องใหญ่เพราะมันไปกัดเด็กแถวๆนั้นเข้า ข่าวว่าต้องเย็บหลายสิบเข็ม ดูท่ามันจะอยู่วัดบ้านแค ต่อไปก็คงจะลำบาก ก็เลยต้องมาตามหลวงปู่มารับไปเลี้ยง เรื่องความดุของมันนั้นทำให้หลวงปู่ต้องทำตะกรุดรุ่นแรกและรุ่นเดียวให้มันเป็นกรณีพิเศษ ต่อมาเกิดประสบการณ์มีเหตุให้ลิง โดนชาวบ้านแถว ๆ นั้นแอบส่องด้วยปืน ปรากฏว่าลิงหลวงปู่ยิงไม่ออก ถึงขนาดโดนตีก็ปรากฏว่าตีมันไม่ถูกเลยเรียกรุ่นนั้นว่าตะกรุดคอลิง น่าจะมีเหตุผลเดียวกันกับตะกรุดคอหมาของหลวงพ่อแย้ม วัดตะเคียนประมาณนั้นเห็นจะได้ ตะกรุดที่คอลิงนั้น เคยมีคนให้ราคาจ้างมหาตู่ ให้ถอดออกมาจากคอลิงกันเลยทีเดียว เกี่ยวกับลิงนี่มีอีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือสามารถฟังภาษาคนรู้เรื่อง โดยเฉพาะคำสั่งของหลวงปู่นั้นกล่าวคือ ครั้งหนึ่งมหาตู่ได้นำญาติโยมจากอู่รถเมล์ที่บางเขน ไปกราบหลวงปู่ที่เขาเขียว ตอนไปมหาตู่ก็ห้ามทุกคนพูดถึงเรื่องลองของเป็นอันขาด ถึงไม่เชื่อก็ไม่ว่า แต่อย่าพูดให้หลวงปู่ได้ยินเดี๋ยวจะเป็นเรื่อง เพราะว่าตอนนั้นหลวงปู่ยังแข็งแรงดีและชอบเล่นถึงมีดอยู่เสมอ โดยท่านจะมีมีดอีเหน็บคมกริบอยู่ที่ข้างๆตัวเป็นประจำสำหรับเอาไว้ลองของโดยเฉพาะ ถึงจะห้ามกันไปตั้งแต่แรกก็ยังอดไม่ได้ ยังมีผู้ที่ไปด้วยกันหลุดปากถามเรื่องหลวงปู่ที่เขาว่า “เหนียวนักน่ะจริงหรือเปล่า” หลวงปู่ฟัง ๆ แล้วก็เลี่ยงตอบไปว่า “คนมันเที่ยวพูดกันไปเรื่อยเปื่อย” ว่าแล้วท่านก็หยิบสิงห์งาแกะออกมาแจกกันคนละตัว โดยที่ไม่มีใครคาดคิดถึงเหตุที่หลวงปู่ท่านแจกของเพราะอะไร จากนั้นหลวงปู่ท่านก็ลุกหายไปนอกกุฏิ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าท่านออกไปไหน ต่างก้มหน้าก้มตาจัดเตรียมสำรับกับข้าวถวายพระกันอยู่บนศาลา มหาตู่ที่ว่างอยู่อาสาเป็นช่างถ่ายรูปเก็บภาพบรรดาแม่ครัวกำลังเตรียมอาหารกันพลันก็เห็นลิงของหลวงปู่มายืนอยู่ ซึ่งเป็นตัวดุนั่นเอง ไม่รู้ว่ามันหลุดมาได้อย่างไร มันเดินเลี่ยงมหาตู่เข้าไปยังหมู่แม่ครัวทั้งหลายแหวกผ่านตัวลูกสาวมหาตู่ ที่ยืนตัวแข็งอยู่แล้วเข้าไปกัดคนที่ถามหลวงปู่เรื่องเหนียวนั่นเอง ว่ากันว่าทุกคนได้แต่ยืนดูลิงกัดคนอยู่นาน โดยที่ไม่มีใครคนใดกล้าเข้าไปช่วยจนกระทั่งหลวงปู่ตามขึ้นมาดูแล้วท่านก็ตบพื้นกระดานดังๆทันที ลิงจอมโหดก็พลันหยุดชะงัก หลวงปู่ชี้นิ้วให้มหาตู่เข้าไปจับ มันก็ยอมให้หิ้วคอออกมาอย่างว่าง่าย มารู้ภายหลังว่าหลวงปู่นั่นเอง ที่แอบไปปล่อยลิงที่ผูกไว้ แถมสั่งให้ลิงมากัดตามใบสั่งได้เสียอีกด้วย เลยทำให้พวกอู่รถที่ไม่เชื่อเรื่องความเหนียวนั้น ต่างยอมหลวงปู่กันทุกคน เพราะว่าร่องรอยที่ถูกลิงกัดนั้นเป็นแค่รอยถลอกแดงไม่เข้าแม้แต่น้อย

โดยคุณ kwang (2.3K)  [ศ. 04 ธ.ค. 2552 - 10:34 น.]



โดยคุณ kwang (2.3K)  [ศ. 04 ธ.ค. 2552 - 10:42 น.] #952127 (1/24)


(D)


หลวงปู่เดินธุดงค์อยู่นานหลายปี จนกระทั่งเหตุการณ์สำคัญที่วัดกระเสียวก็มีอันต้องทำให้หลวงปู่ถูกยึดอำนาจจากรองเจ้าอาวาส ทำให้ท่านมีอันต้องกระเด็นออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสไปโดยปริยาย เหตุการณ์อัปยศครั้งนั้นทำให้ท่านได้เห็นความโลภในใจคน เห็นความจริงในโลกธรรม 8 ประการครั้งสำคัญยิ่งในชีวิต หมดสิ้นแล้วซึ่งลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกสิ่งหากยึดมั่นก็มีแต่ทุกข์อยู่ร่ำไป ทำให้หลวงปู่ท่านตัดสินใจหันหลังให้กับตำแหน่งเจ้าอาวาสโดยสิ้นเชิง ภาพพระภิกษุรูปหนึ่งเดินแบกกลดตามหลังด้วยเณรน้อยศิษย์คู่ใจเดินลัดทุ่งมุ่งหน้าขึ้นเหนือบ่ายหน้ามุ่งสู่ตลาดท่าช้างบ้านเกิด สองเท้าของท่านเดินย่ำลัดเลาะไปตามทางระหว่างหมู่บ้านผ่านบ้านญาติโยมที่มองสองศิษย์อาจารย์ที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง จนมาถึงชายคลองที่ขวางหน้าก่อนจะมุ่งหน้าสู่เขาเขียวก่อนจะตัดเขาบ้านกำมะเชียร เพื่อมุ่งสู่ที่หมายคือ ตลาดท่าช้างอันเป็นจุดตั้งหลัก หลวงปู่หยุดพักที่เขาเขียวชั่วครู่ พิจจารณาดูไปรายรอบมีแต่ท้องทุ่งนา เขาเขียวเป็นภูเขาที่กว้างใหญ่ชุ่มชื่นร่มรื่น ห่างไปสัก 2 กิโลเมตร มีหมู่บ้านอยู่ราว 10 หลังคาเรือน ที่ตีนเขาเขียวมีศาลาผุพังอยู่หนึ่งหลังมองหลังคามีกระเบื้องแผ่นเล็กๆไม่ถึง 30 แผ่น พื้นล่างมีเศษกระเบื้องแตกกระจายเต็มไปทั่วบริเวณ ส่วนเสาศาลาไม้ นับได้10 กว่าต้น ตีนเขาด้านเหนือก่อนออกกำมะเชียรจะมีศาลเจ้าพ่อเขาเขียวและศาลเจ้าพ่ออื่น 5 -6 ศาล มีต้นไม้ขึ้นอยู่หนาทึบเมื่อหลวงปู่พร้อมศิษย์คู่ทุกข์คู่ยากของท่านเดินสำรวจเป็นที่เรียบร้อยระหว่างนั่งพักเหนื่อย หลวงปู่บอกเณรว่า คืนนี้เราปักกลดที่เขาเขียวนี้แหละ พอตกเย็นมีผู้หลักผู้ใหญ่จากในหมู่บ้าน 5-6 คนเข้ามากราบหลวงปู่พูดคุยกันตั้งแต่ 4 โมงเย็นจนเกือบหนึ่งทุ่ม เณรน้อยจับใจความได้ว่าชาวบ้านมานิมนต์หลวงปู่ให้อยู่สร้างสำนักสงฆ์ที่เขาเขียว ท่านครุ่นคิดไม่ว่าอะไรครั้นเมื่อทำวัตรสวดมนต์เสร็จ หลวงปู่ก็ปรึกษาว่าจะเอาอย่างไรดี ยังไงๆเสียจะกลายเป็นว่าเราขัดนิมนต์ชาวบ้านเขา กูเองก็ปากเดียวท้องเดียวไม่ค่อยห่วงสักเท่าไร หมู่บ้านถึงจะเล็กก็คงไม่ถึงกับขัดสนอะไรนัก คงเพียงพอให้ประกอบกิจของสงฆ์ได้ จึงตัดสินใจว่าเขาให้อยู่ก็อยู่ ปักกลดอยู่ที่เขาเขียวคืนแรกเหตุการณ์ปรกติ รุ่งเช้าหลวงปู่กับเณรตู่ออกบิณฑบาตสำรวจไปในหมู่บ้าน มีญาติโยมใส่บาตรหลายบ้านได้เสบียงมาพอสมควร ทั้งยังมีชาวบ้านตามมาทำบุญพร้อมทั้งของคาวหวานพร้อมสมบรูณ์ พร้อมกับทวงถามหลวงปู่เรื่องสร้างวัดเขาเขียว ท่านก็เลยตอบตกลงรับอาราธนาอยู่ที่เขาเขียวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พอฉันเช้าเสร็จราว 8 โมงเช้าก็มีชาวบ้านเกือบ 10 คนมาช่วยกันถางป่าเรื้อศาลาเอาเสาเอาไม้ที่ใช้ได้มาก่อสร้างศาลาขึ้น ทำอย่างง่าย ๆ กว้าง ๆ โล่ง ๆ มีเพียงที่ประดิษฐานพระประธาน ด้านท้ายศาลาเป็นกุฏิอีกสองหลังไว้สำหรับพระเณร กุฏิหลวงปู่สร้างแล้วเสร็จราวปลายปี 2519 หลวงปู่ได้บุกเบิกเขาเขียวอย่างจริงจังตลอดมา ทั้งขุดบ่อน้ำ สร้างกุฏิบนตีนเขา สร้างหอสวดมนต์ สร้างหอระฆัง สร้างแท้งค์น้ำไว้กินใช้ในหน้าแล้ง ส่วนศาลาที่สร้างครั้งแรกดั้งเดิมนั้นถูกไฟไหม้เสียหาย จึงย้ายไปสร้างบนเขาปัจจุบันคือกุฏิเก่าข้างบ่อน้ำ สร้างศาลาสองชั้น ด้านบนมีเป็นห้องกระจกไว้สำหรับเก็บโลงศพที่หลวงปู่ได้เตรียมไว้ล่วงหน้า หลวงปู่อยู่เขาเขียวมาจนเจริญรุ่งเรืองตามลำดับ หลวงปู่เป็นพระที่ค่อนข้างร้อนวิชาอยู่สักหน่อย เมื่อสิ้นอาจารย์อย่างหลวงพ่อมุ่ยแล้วท่านก็ตระเวนเรียนวิชาอย่างไม่รู้จักย่อท้อ หลวงปู่ตระเวนเรียนวิชาอยู่แทบตลอดชีวิต มหาตู่ศิษย์เอกผู้คอยติดตามเคยร่วมทางตามหลวงปู่อยู่เสมอๆ แม้แต่ อ.เฒ่าสุพรรณ ผู้เผยแพร่ประวัติหลวงพ่อกวยจนเลื่องลือนั้นเคยเขียนถึงหลวงปู่ตี๋อยู่เสมอ เพราะสนิทสนมกับท่านมาตั้งแต่หลวงพ่อกวยยังอยู่ เคยพาท่านซ้อนมอเตอร์ไซค์ฝุ่นตลบพาหลวงปู่ไปส่งวัดโฆสิตารามอยู่หลายหน อ.เฒ่า แกเล่าเรื่องหลวงปู่เอาไว้สนุกลองไปค้นกันดูได้และดูเหมือนว่าจะเป็น อ.เฒ่านี่เองเป็นคนแรกที่นำเสนอเรื่องราวของหลวงปู่ตี๋ลงสู่หน้าหนังสือพระเครื่อง ลงเผยแพร่อยู่ตลอด
(ข้อความที่แนบ เป็นข้อความที่ได้จากหนังสือเล่มเก่า ๆ ครับ)

โดยคุณ kwang (2.3K)  [ศ. 04 ธ.ค. 2552 - 10:48 น.] #952135 (2/24)
เมื่อปี 2546 สถานการณ์ยาเสพติดกำลังเลวร้าย ทำให้สุพรรณฯ ยุคนั้นมีแต่เรื่องราวกันทุกหัวระแหง แม้แต่พระเณรก็พลอยเดือดร้อนไปไม่มียกเว้น โดยเฉพาะพวกวัยรุ่นเกษตรกรที่เลี้ยงม้าแถวๆนั้นพอม้าในคอกหมด ก็เที่ยวออกลักขโมย หนัก ๆ เข้าก็ลามเข้ามายกเค้าถึงในวัดจนในที่สุดก็หนีไม่พ้นหลวงปู่ คิดว่าท่านคงมีเงินมากมายจึงเข้ามาปล้นโดยรุมแทงรุมทุบหลวงปู่สารพัด จนท่านแน่นิ่ง คิดว่าหลวงปู่คงไม่รอดแน่แล้ว แล้วก็รื้อเอาเงินในตู้บริจาค ยกเอาวัตถุมงคลบางส่วนเท่าที่จะขนไปได้ หนีหายไปพร้อมทิ้งไว้เพียงร่างที่สาหัสของหลวงปู่อยู่ในกุฏิตามลำพัง ผลก็คือ กรามขวาแตก ซีโครงขวาซี่ล่างสุดหักเพราะถูกแทง 10 กว่าครั้ง ด้วยมีดถึง 3 เล่ม ยังไม่รวมที่บอบช้ำด้วยไม้หน้าสามและที่ซ้ำด้วยก้อนหิน แต่หลวงปู่เองหาได้มีเลือดออกแม้แต่สักหยดเดียว คืนนั้นมีศิษย์หลวงปู่ได้ฝันเห็นหลวงปู่ในสภาพที่น่าตกใจ ส่วนอาจารย์ตู่ศิษย์ใกล้ชิดที่เคยเป็นเณรน้อยคู่ใจนั้นชีวิตก็ผาดโผนโจนทะยานเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ แต่ทว่ามหาตู่เองก็นับเป็นศิษย์มีครู แม้ไม่ได้อยู่กับหลวงปู่แต่วิชาอาคมก็ฝึกฝนท่องบนอยู่มิได้ขาด วันที่เกิดเห็นนั้น มหาตู่ก็พลันเห็นอีกาฝูงใหญ่มาบินว่อนอยู่ในอู่รถเมล์ที่ทำงาน หวนรำลึกนึกถึงครูอาจารย์ก็ตกใจในลางร้ายที่มาปรากฏให้เห็น พิจารณาใครครวญถ้วนถี่ มีดีร้ายประการใดครูบาอาจารย์ส่งข่าวมาบอกเหตุเภทภัย ดังที่ปรากฏในสายวิชาวัดหัวเขาที่เคยร่ำเรียนมานั้น มีอยู่วิชาหนึ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านใช้แจ้งเหตุอันเลวร้ายเรียกว่า วิชากาคาบข่าว มหาตู่รีบลางานกลับที่สุพรรณฯทันที แต่ด้วยช่วงนั้นการติดต่อสื่อสารยังไม่ได้พร้อมดังเช่นทุกวันนี้ กว่ามหาแกจะไปถึงเหตุการณ์ ก็ผ่านไปนานหลายวัน เมื่อศิษย์นำส่ง โรงพยาบาลเดิมบางนางบวช ปรากฏว่าอาการหลวงปู่หนักเกินกว่าจะรับไหวทายโรงพยาบาลประจำอำเภอ จึงได้ส่งหลวงปู่เข้ามายังโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช ตัวเมืองสุพรรณบุรี ระหว่างที่รอปาฏิหาริย์อยู่นั้นอาการหลวงปู่นั้นแย่มาก ฟังจากปากหมอได้ความว่าเป็นตายเท่ากัน ศิษย์เอกของหลวงปู่เห็นท่าไม่ได้การ จึงหันหาที่พึ่งทางใจอ้างเอาอำนาจบุญบารมีที่หลวงปู่ได้สั่งสมอบรมมาตลอด ขอชีวิตหลวงปู่ที่อยู่บนเตียง นำดอกไม้ธูปเทียนถวายใส่มือขอให้หลวงปู่รับปากว่าจะอยู่เป็นที่พึ่งแก่ลูกศิษย์ต่อไปจนกว่าจะสร้างศาลาเสร็จ หลวงปู่ที่นอนอาการเพียบอยู่บนเตียงรับประเคนพานดอกไม้ไว้ในมือพร้อมรับปากมาคำหนึ่งว่า ได้ ก็น่าอัศจรรย์เหลือจะกล่าวที่วันรุ่งขึ้นนั้นมหาตู่ที่เฝ้าอยู่ก็ประหลาดใจเพราะเห็นหลวงปู่นั้นสามารถลุกขึ้นนั่งบนเตียงได้อย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่หมอเองก็ยังคาดไม่ถึงว่าหลวงปู่ท่านจะหายเป็นปรกติได้รวดเร็วถึงเพียงนี้

โดยคุณ kwang (2.3K)  [ศ. 04 ธ.ค. 2552 - 11:09 น.] #952150 (3/24)
บทความที่นำมาให้อ่าน เป็นต้นฉบับที่ยังไม่ได้เรียบเรียงดีนัก ดังนั้นอาจจะกล่าวย้อนไปย้อนมาบ้าง
ต้องขออภัยด้วยครับ

โดยคุณ park_pinklao (79.1K)  [ศ. 04 ธ.ค. 2552 - 11:37 น.] #952168 (4/24)
ดีจัง ศรัทราจังครับ ผมมีเหรียญของท่านด้วย

โดยคุณ kwang (2.3K)  [ศ. 04 ธ.ค. 2552 - 13:05 น.] #952228 (5/24)


(D)


จากรูปถ่าย สู่งานปั้นครับ

โดยคุณ kwang (2.3K)  [ศ. 04 ธ.ค. 2552 - 13:06 น.] #952233 (6/24)


(D)


1

โดยคุณ kwang (2.3K)  [ศ. 04 ธ.ค. 2552 - 13:08 น.] #952235 (7/24)


(D)


1

โดยคุณ kwang (2.3K)  [ศ. 04 ธ.ค. 2552 - 13:09 น.] #952236 (8/24)


(D)


1

โดยคุณ kwang (2.3K)  [ศ. 04 ธ.ค. 2552 - 13:12 น.] #952245 (9/24)


(D)
เริ่มงานครับ

โดยคุณ kwang (2.3K)  [ศ. 04 ธ.ค. 2552 - 13:31 น.] #952268 (10/24)
ลืมบอกไปครับ
ความเห็นที่ 9
วันที่เริ่มงานปั้น ได้นิมนต์หลวงปู่มาที่บ้านของช่าง แล้วทำพิธีบรวงสรวงครับ

ความเห็นที่ 8
ด้่านนี้แหละครับ ที่โดนโจรใจบาปฟันด้วยอีเหน็บแต่ไม่เข้า แรงกระแทกทำให้กรามหัก

โดยคุณ park_pinklao (79.1K)  [ศ. 04 ธ.ค. 2552 - 13:39 น.] #952274 (11/24)
คุณ kwang เขียนที่อยู่ และแผนที่ ไปวัดให้หน่อยซิครับ พรุ่งนี้ผมจะไปกราบท่านครับ

โดยคุณ kwang (2.3K)  [ศ. 04 ธ.ค. 2552 - 14:13 น.] #952304 (12/24)
mail ไปให้แล้วครับ

โดยคุณ park_pinklao (79.1K)  [ศ. 04 ธ.ค. 2552 - 14:19 น.] #952308 (13/24)
ได้รับแล้วครับ ไปถูกแน่ครับ ขอบพระคุณนะครับ

โดยคุณ p_sak (653)  [ศ. 04 ธ.ค. 2552 - 14:40 น.] #952339 (14/24)

โดยคุณ toei89 (622)  [ศ. 04 ธ.ค. 2552 - 16:04 น.] #952421 (15/24)

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [ศ. 04 ธ.ค. 2552 - 16:35 น.] #952466 (16/24)
ยอดเยี่ยมครับ


โดยคุณ พรโกสีย์ (7.5K)  [ศ. 04 ธ.ค. 2552 - 16:37 น.] #952472 (17/24)

โดยคุณ sitti (2.6K)  [ศ. 04 ธ.ค. 2552 - 22:33 น.] #952908 (18/24)

โดยคุณ เพชรพระอุมา (146)(1)   [ศ. 04 ธ.ค. 2552 - 23:27 น.] #952952 (19/24)


(D)
คุณ kwang ครับ ช่วยลงแผนที่ให้เพื่อนๆหน่อยครับ คิดว่าอาจมีหลายท่านที่อยากจะไปกราบท่านบ้าง ส่วนผมนั้นคิดว่าช่วงปีใหม่จะแวะไปกราบท่านสักหน่อยเพราะจะต้องไปบ้านยายที่อยู่อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี หรือถ้าไม่สะดวกจริงๆ ส่งเมล์มาก็ได้ครับ petch_forth@yahoo.com ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ

โดยคุณ kwang (2.3K)  [ส. 05 ธ.ค. 2552 - 00:49 น.] #952994 (20/24)
พี่เพชรพระอุมา ส่งไปให้แล้วครับ

โดยคุณ Matin22 (3.8K)  [ส. 05 ธ.ค. 2552 - 09:32 น.] #953226 (21/24)

โดยคุณ kaicpac (1.2K)  [ส. 05 ธ.ค. 2552 - 17:54 น.] #953676 (22/24)


(D)
หลวงปู่ตี๋ท่านมีลักษณะนิสัยชอบธุดงค์เป็นประจำ ช่วงชีวิตของท่านถือธุดงค์มาเกือบ ๔๐ ปี ในระหว่างที่อยู่วัดกระเสียวท่านก็ได้ออกธุดงค์เสมอๆโดยฝากวัดไว้กับรองเจ้าอาวาสวัดกระเสียว คือ พระครูวิเชียร
ครั้งหนึ่งหลวงปู่ตี๋ท่านออกธุดงค์ไปทางภาคตะวันออก และได้พบกับ"หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ จ.ระยอง" แรกพบท่านทั้งคู่นั้นได้เกิดการลองวิชากันพอสมควร สุดท้ายหลวงปู่ตี๋จึงบอกกับหลวงปู่ทิมว่า “ในช่วง๗วันที่อยู่ที่นี่ ขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่านด้วยได้ไหม” หลวงปู่ทิมท่านก็ตอบว่า “แค่ ๗ วันจะไปเรียนอะไรได้ นี่เห็นว่าเป็นคนสุพรรณ ร่ำลือกันนักกันหนาว่าคนสุพรรณแน่จริงอยู่ หากเป็นจริงดังคำร่ำลือนั่นแล้ว ต้องมาเรียนด้วยกัน ๑ พรรษา จึงจะสอนให้” หลวงปู่ตี๋ได้ยินทำท้าทายจากหลวงปู่ทิมดังนั้นจึงธุดงค์กลับมาวัดกระเสียว และฝากวัดไว้กับรองเจ้าอาวาสอีก เพื่อจะกลับไปร่ำเรียนวิชาอาคมเพิ่มเติมจากหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ เป็นเวลา ๑ พรรษา เรียนกับหลวงปู่ทิมได้วิชาทำผงพรายกุมาร การเสกผง และวิธีการปลุกเสกพระเครื่อง

โดยคุณ kaicpac (1.2K)  [ส. 05 ธ.ค. 2552 - 17:57 น.] #953679 (23/24)


(D)
หลวงปู่ตี๋ กับ หลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม (วัดบ้านแค)



หลวงปู่ตี๋ท่านมาเรียนกับหลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม จ.ชัยนาท หลายครั้ง และหลวงพ่อกวยมักจะจูงมือหลวงปู่ตี๋เข้าไปเรียนในกุฏิแบบตัวต่อตัวตลอดครับ วิชาที่ท่านเรียนจากหลวงพ่อกวยนั้น คือ เรียนวิชาทำปลัดขิก ตะกรุด หนุมาน และวิชาอื่นๆอีกมากมาย
และวิชาหนึ่งที่หลวงปู่ตี๋ท่านสำเร็จเป็นเลิศและศิษย์หลวงพ่อกวยทุกท่านต่างทราบดีและยกย่องท่านนั้นก็คือ วิชาตัวเบา สามารถนั่ง สามารถเดินบนผิวน้ำได้ และอีกวิชาหนึ่งที่ท่านสำเร็จและขึ้นชื่อคือ วิชามือยาวรอดรูดาน สามารถหยิบสิ่งของไกลๆ และมีช่องเล็กๆได้ครับ
หลวงปู่ตี๋ กับหลวงปู่เย็น วัดสระเปรียญ และหลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรีเจริญ
หลวงปู่ตี๋ท่านมีความสนใจในวิชาอาคมและวิชาต่างๆมาก ซึ่งคนโบราณเรียกว่า “คงแก่เรียน” จึงได้พยายามเสาะแสวงหาพระอาจารย์เก่งๆและเข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์เพิ่มเติมอยู่เสมอๆอีกดังนี้ กับหลวงปู่เย็น วัดสระเปรียญ จ.ชัยนาท ท่านได้วิชาย่นระยะทาง และกำบัง ส่วนหลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรีเจริญ จ.สิงห์บุรี นั้นท่านได้วิชาแป้งเสกครับ

โดยคุณ kaicpac (1.2K)  [ส. 05 ธ.ค. 2552 - 18:00 น.] #953681 (24/24)


(D)


หลวงปู่ตี๋ท่านมักปลุกเสกวัตถุมงคลในบาตรพระ และวัตถุมงคลที่ท่านปลุกเสกนั้นมักจะวิ่งส่งเสียงดังเสมอ
ท่านเริ่มสร้างวัตถุมงคลครั้งแรกสมัยที่เป็นเจ้าอาวาสวัดกระเสียว วัตถุมงคลที่ท่านสร้างครั้งแรกคือ เหรียญรุ่นแรก ซึ่งออกที่วัดกระเสียวนี้ จำนวน ๑๐, ๐๐๐ เหรียญ โดยแรกเริ่มท่านตั้งใจจะสร้างปี พ.ศ. ๒๕๑๒ แต่ไปปรึกษาหลวงพ่อมุ่ย และหลวงพ่อมุ่ยท้วงว่าให้สร้างปี ๒๕๑๓ จะดีกว่า ท่านจึงสร้างเหรียญรุ่นแรกในปีพ.ศ.๒๕๑๓ ตามคำแนะนำของหลวงพ่อมุ่ย พอโรงงานปั๊มเหรียญทำเหรียญอกมาเสร็จ ท่านก็นำไปให้หลวงพ่อมุ่ยผู้เป็นอาจารย์เสกเป็นรูปแรก หลวงพ่อมุ่ยเสกให้ท่านอย่างเต็มที่เลยทีเดียว และต่อมาหลวงปู่ตี๋ท่านจึงนำมาให้หลวงพ่อกวย วัดโฆษิตารามเสกอีกเป็นรูปที่สอง ซึ่งหลวงพ่อกวยท่านก็เสกให้อย่างเต็มที่เหมือนกัน และเป็นเวลานานเลยทีเดียว หลังจากนั้นหลวงปู่ตี๋จึงนำกลับมาที่วัด และเสกเองที่วัดอีกเรื่อยๆมาเป็นเวลาหลายไตรมาส
เหรียญรุ่นแรกของท่านนี้ ลูกศิษย์นิยมเรียกกันว่า “เหรียญหนีลูกปืน” คือมีที่มาของชื่ออยู่ว่า หลังจากหลวงพ่อมุ่ยและหลวงพ่อกวยและหลวงปู่ตี๋ท่านเสกเรียบร้อยแล้ว มีลูกศิษย์ได้รับแจกเหรียญนี้ไป ได้นำเหรียญนี้ไปลองยิงกันที่หลังวัด ปรากฏว่า นัดแรกยิงไม่ออก นัดที่สองออก แต่ไม่ถูก เพราะขณะประทับปืนจะยิงเหรียญอยู่ๆนั้น เหรียญดังกล่าวก็หายไปทันตา คนยิงจึงมองไม่เห็นเหรียญ จึงยิงไม่ถูก สุดท้ายก็เลยต้องไปกราบขอขมาหลวงปู่ตี๋ท่าน
ที่วัดกระเสียว นอกจากเหรียญรุ่นแรกของท่านแล้ว ท่านยังสร้างวัตถุมงคลอื่นขึ้นมาอีกด้วย คือ ภาพถ่ายขนาด๕นิ้ว และ ล็อกเก็ตห่มคลุม
ต่อมาเมื่อท่านจำพรรษาและมาเป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดเขาเขียว อ.เดิมบางนางบวชท่านก็ได้สร้างวัตถุมงคลขึ้นมาอีกเป็นจำนวนหลายรุ่น หลายชนิด คือ ภาพถ่ายขนาดบูชารุ่นแรก , ภาพถ่ายขนาดคล้องคอรุ่นแรก , รูปหล่อรุ่นแรก , พระผงรูปเหมือนรุ่นแรก, ตะกรุด , มีดหมอ , ปลัดขริก , ผ้ายันต์ , ภาพถ่ายต่างๆ, เหรียญต่างๆ, พระบูชา , พระพิมพ์ต่างๆ , ฯลฯ
ต่อมาหลวงปู่ตี๋ท่านชรามากนัก ลูกศิษย์จึงนิมนต์ท่านมาจำรรษาอยู่วัดท่ามะกรูด ซึ่งใกล้หมอมากกว่า ท่านจึงจำพรรษาอยู่วัดนี้จวบจนปัจจุบัน และที่วัดนี้ท่านก็สร้างวัตถุมงคลต่างๆขึ้นมาอีกมากมาย คือ ภาพถ่าย , ตะกรุด , ปลัดขริก , ผ้ายันต์ , กระดาษยันต์ , พระพิมพ์ต่างๆ , ฯลฯ ซึ่งวัตถุมงคลทุกชนิดขงหลวงปู่ตี๋นั้นล้วนแต่มีประสบการณ์อภินิหาริย์ต่างๆมากมายเป็นที่นิยมเสาะหานำมาบูชาครอบครองกันทั้งสิ้น

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM