(0)
(744) ลูกแก้วสารพัดนึก หรือแก้วมณีนพรัตน์ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก






รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่อง(744) ลูกแก้วสารพัดนึก หรือแก้วมณีนพรัตน์ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก
รายละเอียด(744) ลูกแก้วสารพัดนึก หรือแก้วมณีนพรัตน์ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก
ราคาเปิดประมูล1,224 บาท
ราคาปัจจุบัน1,284 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ30 บาท
วันเปิดประมูล - 27 พ.ย. 2556 - 11:27:01 น.
วันปิดประมูล - 29 พ.ย. 2556 - 12:18:35 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลsabd11 (3.4K)


(0)
ข้อมูลเพิ่มเติม 1 - 28 พ.ย. 2556 - 11:22:34 น.

รายละเอียดเพิ่มเติม

ลูกแก้วสารพัดนึก หรือแก้วมณีนพรัตน์ ของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก

หลวงปู่ท่านให้นำพุทธคุณต่าง ๆ หลายชนิด มาผสมกับปูนซีเมนต์ขาวและปั้นเป็นลูกกลม ๆ ใหญ่บ้าง

เล็กบ้าง ผงที่หลวงปู่ให้มานั้นท่านบอกว่าเป็นผงมหาราช ผงตรีนิสิงห์เห ผงปัตถมัง ผงกรรมฐาน

ผงมหาจักรพรรดิ และผงศักดิ์สิทธิ์อีกหลายชนิด

ลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิดท่านเรียนถามหลวงปู่ว่า ทำไมหลวงปู่ใช้ผงมากขนาดนี้ครับ ท่านบอกว่า ถ้าทำ

เป็นพระก็ไม่ต้องใช้ผงมาก เพราะคนจะเห็นคุณค่าของพระอยู่ในตัว แต่นี้ข้าให้ไปทำเป็นลูกกลม ๆ

คนอื่นเขาจะไม่รู้ค่าจึงจำเป็นต้องทำให้มีพุทธคุณมาก ๆ ไว้เรียกว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดเลยแหละแก

หลวงปู่ท่านว่า ข้าอธิษฐานเป็นแก้วมหาจักรพรรดิ เรียกว่า แก้วมณีนพรัตน์ เป็นสมบัติของพระ

พุทธเจ้า แม้ผู้ใดนำไปใช้ก็จะเกิดประโยชน์ใหญ่มีพุทธานุภาพมาก แล้วแต่จะอธิษฐานเอา

สมัยก่อนข้าเคยทำไว้เป็นดินเผาก็มีเป็นผงก็มี กลมบ้าง เป็นแท่งยาว แท่งสั้นหลายขนาด เจาะรูไว้

ตรงกลางเพื่อให้อากาศฐาตุเข้าเรียกวา โปร่งฟ้า ที่ไม่เจาะรูก็มี หนักไปทางแคล้วคลาดมหาอำนาจ

สมัยก่อนห่ากินคนตายไปกันมาก ข้าจะทำเอาไว้แขวนคอควายแจกชาวบ้านให้ติดตัวกันแต่ห่าก็มา

ไม่ถึง จึงไม่ได้แจกแต่ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมดแล้ว

ลูกศิษย์จึงถามท่านว่า แก้วมณีนพรัตน์ป้องกันโรคร้าย ๆ ได้ด้วยหรือครับหลวงปู่ และถ้าคนที่เขา

เป็นโรคร้ายที่รักษาไม่หายจะช่วยได้ไหมครับ หลวงปู่ท่านเมตตาตอบว่า ให้นำแก้วมณีนพรัตน์ไป

แขวนคอไว้ แล้วภาวนาไตรสรณคมณ์ ตลอดเวลาหรือภาวนามาก ๆ ถ้ากรรมไม่หนักพุทธานุภาพ

ของไตรสรณคมณ์ก็จะช่วยได้อยู่ที่ว่าตั้งใจภาวนามากน้อยเพียงไรนับถือและศรัทธาจริงภาวนาไปจะ

มีเหตุมาทำให้หายจากโรคร้าย แต่ถ้าหมดอายุ ก็ยิ่งสำคัญมาก เพราะเวลาที่คนจะตายด้วยโรคร้ายจะ

ทุกข์ทรมานมาก จนจิตไม่สามารถ ระลึกถึงความสุขหรือที่เขาเรียกว่ากรรมดี เพราะความดีหรือบุญ

ก็จะทำให้ได้ไปจุติเป็นเทพเป็นพรหม หรือเป็นเทวดาตามชั้นต่าง ๆ ตามแต่บุญกุศลของตนที่เคย

ได้ทำไว้ แต่ถ้าจิตตกเพราะเจ็บปวดทรมาน และไม่เคยฝึกสมาธิหรือกรรมฐานจิตก็จะหาที่ยึดเหนี่ยว

ไม่ได้ ตอนนั้นกรรมชั่วที่เคยทำไว้จะเข้าแทรก ถ้าตายตอนจิตตกทุคติเป็นที่ไปคือต้องไปเป็นเปรต

อสุรกาย หรือสัตว์เดรฉานและถ้ากรรมชั่วมากก็ต้องไปใช้กรรมยังเมืองนรก

หลวงปู่ท่านว่าจะให้ดีระหว่างเจ็บป่วยหรือโรคร้ายต่าง ๆ ให้กำแก้วมณีนพรัตน์ไว้และภาวนาให้มาก

ๆ ถ้าแกภาวนาไปเรื่อยจิตก็จะเข้าถึงไตรสรณคมณ์ กรรมหนักก็จะเบา กรรรมเบาก็จะหาย ทำมาก ๆ

ผลของไตรสรณคมณ์ ที่เป็นบุญใหญ่นี้ก็อาจต่ออายุให้อยู่ได้ทำบุญไปอีกนาน ถ้าหมดอายุจิตที่เคยฝึก

ภาวนาไตรสรณคมณ์ก็จะมีแสงสว่างซึ่งเป็นบุญใหญ่ทำให้จิตระลึกถึงกรรมดีที่ตนเคยสร้างไว้ ถ้า

ตายตอนนั้น ก็จะได้ไปจุติเป็นเทพ พรหม หรือเทวดา ตามแต่บุญของตนที่ได้ทำไว้ แก้วมณีนพรัตน์

สามารถตัดกรรมได้ โดยการภาวนาไตรสรณคมณ์

กรรมชั่วที่ผู้ใดได้กระทำไว้แล้ว มิอาจตัดกรรมหรือทำให้หายไปได้ แต่จะให้ผลเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่ที่

เหตุปัจจัย กรรมชั่วเหมือนกับความมืด กรรมดีเป็นแสงสว่าง หลวงปู่ท่านว่า ถ้าใครทำจิตให้เป็น

สมาธิและภาวนาไตรสรณคมณ์ ก็จะสว่างไปทั้งสามโลก การภาวนานี้เป็นบุญใหญ่ กรรมชั่วที่เคยทำ

ไว้มิอาจเข้าแทรกได้ กรรมดีที่เคยทำไว้แต่ปางก่อน ก็จะมาส่งผล บวกกับบุญใหญ่ที่เกิดจากการ

ภาวนาไตรสรณคมณ์ รวมกันก็จะเป็นมหากุศล ถ้าตายในช่วงนั้นก็จะได้ไปจุติ บนวิมานตามชั้นต่าง ๆ

ได้เสวยความสุข เป็นเวลานานเรียกว่ากรรมชั่วเป็นหมัน ยังไม่มีโอกาสที่จะมาส่งผล คนส่วนมาก

จึงคิดว่าเป็นการตัดกรรม แต่ที่จริงกรรมชั่วยังอยู่ รอโอกาสที่จะสนอง หลวงปู่ท่านว่า ใครจะใหญ่

เกินกรรม แต่ที่ได้เสวยความสุขก่อนก็เพราะด้วยอำนาจของกรรมดี มีมากกว่ากรรมชั่ว ท่านบอกว่า

ถ้าใครมาบอกจะทำพิธีตัดกรรมได้ อย่าไปเชื่อแกจะโดนเขาหลอก

ประสบการณ์ แก้วมณีนพรัตน์ หรือแก้วสารพัดนึก

ผมเป็นคนจังหวัดสิงห์บุรี ครอบครัวค่อนข้างยากจน มีโอกาสเรียนแค่ประถม 6 ก็ต้องออกจาก

โรงเรียน โดยเหตุผลว่าเรียนต่อ ม.1 ค่าเทอมและค่าเสื้อผ้ารวมกันแล้วเกือบพันบาท ผมยังจำได้

ดีตอนนั้นแม่ผมกอดผมไว้ และบอกว่า "ลูก เรามันจนอย่าเรียนต่อเลยนะลูก" ผมได้ยินแม่พูดถึง

กับน้ำตาร่วงอย่างไม่รู้ตัวเพราะสงสารแม่มาก เมื่อวานผมเห็นแม่ไปขอเชื่อข้าวสารร้านข้างบ้านมา

1 กิโล ตอนนั้นผมบอกกับตัวเองว่า จะไปหางานทำเพื่อหาเงินมาให้แม่ ไม่อยากเห็นแม่ลำบาก

แบบนี้ ผมออกจากโรงเรียนและไปเป็นลูกจ้างล้างจานที่ร้านข้าวแกงมีหน้าที่ยกข้าวแกงไปให้ลูกค้า

พอว่างก็ต้องไปล้างจาน ค่าตัววันละยี่สิบบาท ผมทำอยู่นานเจ้าของร้านแกเป็นคนใจบุญ บอกว่าผม

ขยันและอดทนดี จึงขึ้นเงินให้เป็นวันละห้าสิบบาท ตามปกติเจ้าของร้านที่ผมอยู่ ถ้าวันไหนหยุดแกก็

จะไปทำบุญตามวัดต่าง ๆ อยู่เสมอ มีอยู่วันหนึ่งขายดีมากอย่างไม่เคยมีมาก่อนเพียงครึ่งวันก็ขายหมด

พอเก็บร้านเสร็จ เจ้าของร้านก้บอกว่า วันนี้ขายดีเลิกเร็วไม่รู้จะไปไหน ไปกราบหลวงพ่อดู่ที่วัด

สะแกดีกว่า แกเลยชวนผมไปด้วย ผมว่างไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน ก็เลยไปกับเขาด้วย

ไปถึงวัดสะแกประมาณสามโมงเย็น มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อดู่ นั่งอยู่กับท่านสองคน เจ้าของร้านเข้า

ไปถึงก็ก้มลงกราบหลวงพ่อ ผมก็กราบตาม เจ้าของร้านพูดทักทายลูกศิษย์ที่อยู่ก่อนแล้วอย่างคุ้นเคย

แสดงว่ารู้จักกันมานานแล้ว หลวงพ่อท่านท่าทางเมตตามากท่านยิ้มอย่างอารมณ์ดี และส่งถ้วยที่มีน้ำ

ชาให้ผมและเจ้าของร้าน ท่านมองผมด้วยความเมตตา ผมขนลุกขึ้นไปถึงหัวไม่รู้เพราะอะไร

ท่านบอกผมวา "กินซะน้ำมนต์" ผมก็ยกขึ้นดื่มจนหมดถ้วย พอกินหมดวางถ้วยลงกับพื้น ผมรู้สึก

สว่างไปทั่ว ตัวเบา ตาดูมองอะไรก็สว่างใสไปหมด ทั้งหูก็ได้ยินชัดเจนขึ้นมากกว่ที่เคยเป็นมา จึงนึก

ไปว่าเราไม่เคยกินน้ำชาบ่อยนักพอมากินเข้าร่างกายถึงสดชื่น เจ้าของร้านคุยกับหลวงพ่อดู่นานมาก

จนเย็น วันนั้นเขาเช่าพระองค์ละหนึ่งร้อยบ้างสิบบาทยี่สิบบาทก็หลายองค์แหวนวงละสามร้อยบาท

ถึงห้าองค์ หลวงพ่อดู่บอกเขาว่าเอาเงินไปใส่ตู้ทำบุญไว้ ไม่ต้องเอาให้ท่าน วันนั้นผมไม่ได้พูดกับ

หลวงพ่อเลยสักคำ เจ้าของร้านเห็นว่าเย็นมากแล้วจึงลาหลวงพ่อกลับ เขากราบท่านผมจึงกราบตาม

แล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินไปที่รถ ผมก็ลุกขึ้นจะเดินตาม เสียงหลวงพ่อพูดว่า "เดี๋ยวก่อนมานี่" ผมหัน

ไปตามเสียง เห็นท่านยิ้มอย่างเมตตา จึงเข้าไปหาท่านใกล้ ๆ ท่านหยิบลูกกลม ๆ เล็ก ๆ สีขาวอม

เหลืองให้ผมหนึ่งเม็ด และท่านก็พูดว่า "เก็บติดตัวไว้ให้ดีในนั้นมีพระอยู่ อีกหน่อยจะทำให้แกรอด

ตายแล้วแกจะรวยเป็นเศรษฐี" ผมมองดูเม็ดกลม ๆ เล็ก ๆ ที่ท่านให้ก็ไม่เห็นมีพระอะไร อย่างที่

ท่านบอกเลยสักองค์ท่านคงเห็นผมทำท่าแปลกใจ เลยพูดว่า "แกไปได้แล้ว" ผมรีบกราบท่านอีก

ครั้งแล้วรีบวิ่งไปที่รถเพรากลัวเจ้าของร้านจะรอนาน ผมขึ้นรถเจ้าของร้านก็ถามว่า "หลวงพ่อท่าน

เรียกทำไม" ผมบอกเขาว่า "ท่านให้เม็ดกลม ๆ ผมครับ" เจ้าของร้านหันมามองดูสิ่งที่อยู่ในมือ

ของผมแล้วพูดเฮ้ยนี่ของดีหายาก "พี่มาหาหลวงพ่อหลายครั้งแล้วยังไม่เคยได้เลย เก็บไว้ให้ดีนะ

โว้ย" ผมรับคำว่า "ครับพี่" หลังจากนั้นนานสักสิบกว่าวัน เจ้าของร้านก็ไปหาหลวงพ่อดู่อีก แต่

ผมไม่ได้ไปกับเขาด้วย พอเขากลับมาวันรุ่งขึ้นก็บอกผมว่าหลวงพ่อท่านฝากของดีมาให้ผม แกส่ง

กระดาษให้ผมใบหนึ่ง พอผมเปิดดูในนั้นมีหนังสือเขียนว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ

สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ให้ภาวนามาก ๆ ผมนึกกราบท่านในใจผมเป็นเด็กจน ๆ คนหนี่ง คิดว่าท่านคง

ลืมผมไปนานแล้ว แต่นี่ท่านยังเมตตาจำผมได้ และเมตตาให้คำภาวนามาด้วย ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคย

ไปกราบพระที่ไหน พอมาเจอแบบนี้ทำให้ผมเกิดความศรัทธา หลวงพ่อดู่เป็นอย่างมาก ด้วยความ

ศรัทธาท่านผมจึงภาวนา ไตรสรณคมณ์เรื่อยมา ผมไปไหนต้องมีลูกกลม ๆ ที่หลวงพ่อท่านให้ติดตัว

อยู่ตลอดเวลา

ระยะหลังแม่ของผมเริ่มเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้งไปทำงานไม่ไหว ผมจึงขอเจ้าของร้านหยุดงานเพื่อพา

แม่ไปหาหมอ ผลออกมาว่าแม่ของผมเป็นเบาหวานความดัน ไขมันในเส้นเลือด และอย่างอื่นด้วย

ยาแต่ละอย่างแพงมาก ผมไม่มีเงินซื้อยาดี ๆ ทางโรงพยาบาลจึงให้ตัวที่ถูก ๆ คือยาที่ไม่มีมาตรฐาน

ผมเสียใจที่ตนเองไม่มีปัญญารักษาแม่ คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าทำยังไงถึงจะมีเงินซื้อยาดี ๆ ให้แม่

ก่อนออกจากบ้านเช้ามืดของทุกวันผมจะยกลูกกลม ๆ ที่แขวนอยู่ในคอขึ้นมาพนมและภาวนา

ไตรสรณคมณ์ทุกวัน เช้านี้ไม่เหมือนกับทุกเช้า พอผมภาวนาไตรสรณคมณ์จบก็อธิษฐานว่า "

หลวงพ่อดู่ครับ ผมขอเงินมาซื้อยารักษาแม่ด้วยเทอญ สาธุ" และก็ออกไปทำงานตามปกติ ตอนสาย

ๆ ของวันนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งที่ผมพอจำได้ว่านาน ๆ หลาย ๆ เดือนจะมากินข้าวแกงสักครั้ง ก็มานั่ง

กินอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะผมไม่ทันสังเกตุ ผมจึงตักน้ำแข็งใส่แก้วและเดินไปให้เขาตามปกติ

เหมือนทุกครั้ง พอเขาเห็นผมก็พูดว่า "มาทีไรเจอทุกครั้งเลยขยันจังนะ" ผมยิ้มรับในคำทักทาย

ของเขา แล้วพูดว่า "ถ้าไม่มาทำงานเดี๋ยวไม่มีข้าวกินครับ" เขาก็พูดว่า "เออพูดตรงดี พี่ชอบว่ะ

แบบนี้ไปทำงานกับพี่ไหม" ผมถามเขาว่า "งานอะไรครับ" เขาบอกว่า "งานอยู่เรือดูดแร่ เงิน

ดีนะน้อง" ผมถามต่อว่า "ดีของพี่ได้เดือนละเท่าไหร่ครับ" เขาตอบทันทีว่า "เป็นหมื่น" พอ

ได้ยินคำว่าเป็นหมื่น ผมถึงกับตาโตเลยทีเดียว ผมเริ่มสนใจมาก ถามต่อว่า "ไปทำที่ไหนพี่" ชาย

ผู้นั้นบอกว่า "จังหวัดภูเก็ต" ผมทวนคำพูดว่าภูเก็ต และนึกว่าแม่กำลังไม่สบายจะทิ้งแม่ไปได้อย่าง

ไร แต่ถ้าได้ไปก็จะมีเงินมาซื้อยาดี ๆ รักษาแม่ ชายผู้นั้นคงเห็นผมยืนคิดอยู่นาน ชายผู้นั้นจึงพูดขึ้น

ว่า "อาทิตย์หน้าพี่ถึงจะไปภูเก็ตอีกสองสามวันจะมากินข้าวใหม่ น้องลองกลับไปคิดดูแล้วค่อยบอกพี่"

แล้วเขาก็เดินออกจากร้านไป ผมมองดูชายคนนั้นเดินจากไปจนลับสายตา

เย็นนั้นผมกลับถึงบ้านก็นึกถึงแต่เรื่องอยากไปทำงานที่ภูเก็ต คืนนั้นผมนอนไม่หลับทั้งคืน วันต่อมา

ผมกำลังเอายาให้แม่กิน แม่คงสังเกตเห็นผมผิดปกติเลยถามว่า "ไปมีเรื่องอะไรกับเขาหรือเปล่า

เป็นอะไรแปลก ๆ ไป" ผมจึงเล่าให้แม่ฟังทั้งหมด แม่ก็พูดว่า "เรื่องแค่นี้เอง ลูกอยากไปไหมล่ะ

ไม่ต้องห่วงแม่หรอกแม่อยู่ได้" ผมบอกแม่ว่า "อยากรักษาแม่ให้หาย ถ้าผมมีเงินก็จะได้ไปซื้อยา

ทีดี ๆ มาให้แม่กินครับ" แม่บอกว่า "ตามใจแกถ้าอยากไปทำงานแม่ก็ตามใจ" แม่กอดผมและ

พูดขึ้นว่า "แม่รักลูกนะ" ผมน้ำตาไหลและกอดแม่แน่นบอกว่า "ผมก็รักแม่ครับ" และเราสอง

คนก็ร้องไห้

วันรุ่งขึ้นผมไปทำงานตามแบบทุกวัน พอตอนเย็นเลิกร้านแล้ว ผมก็เข้าไปหาเจ้าของร้านบอกว่าผม

ขอลาออก เขาท่าทางตกใจ พูดว่า "อยู่กันมาตั้งนานไม่สบายใจมีอะไรบอกพี่ได้นะ" ผมจึงเล่าเรื่อง

แม่ไม่สบายผมอยากได้เงินไปรักษาแม่ ให้เจ้าของร้านฟังจนหมด เขาพูดเสียงดังว่า "ให้มันได้

อย่างนี้ เองทำถูกแล้วละ จะไปเมื่อไหร่" ผมตอบว่า "อีกสองสามวันครับ" เขาเอามือล้วงเข้าไป

ในกระเป๋ากางเกงควักเงินออกมานับ น่าจะเป็นสองถึงสามหมื่นแล้วส่งให้ผม บอกว่า "เอาไป พี่ให้"

ผมงงบอกกับเจ้าของร้านว่า "ผมไม่รบกวนยืมเงินพี่หรอกครับ ถ้าเอาไปคงไม่มีปัญญามีเงินมาใช้

คืนพี่" "เอ็งกับพี่นับถือหลวงพ่อองค์เดียวกัน เท่ากับเราเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันเหมือนพี่

เหมือนน้อง ต้องช่วยเหลือกันถึงจะถูก เงินนี้พี่ไม่ได้ให้ยืมแต่พี่ช่วยโดยไม่ต้องเอามาคืน" ผมเกรง

ใจเจ้าของร้านมากเขาเป็นคนใจบุญ มีเมตตาและยังมีน้ำใจต่อผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากอีก ผมก้มลงกราบเขา

เพราะไม่มีอะไรจะตอบแทนความดีของเขา และนึกในใจว่าขอให้พี่จงเจริญ ๆ วันต่อมาชายผู้นั้นก็

มากินข้าวแกง พอเขาเห็นผมก็ถามว่า "คิดได้หรือยัง" ผมตอบว่า "ไปครับ" เขาพูดว่า "เออดี

ไม่เสียแรงที่ชวน" ผมนัดกับเขาถึงวันที่จะออกเดินทาง เมื่อรู้วันเดินทางแล้ว ผมก็ไปบอกกับแม่

และให้เงินแม่เก็บไว้หาหมอรักษาตัวระหว่งที่ผมไปทำงานผมบอกแม่ว่า "ได้เงินเดือนเมื่อไหร่ผม

จะรีบส่งมาให้แม่ทุกเดือน" ผมนำเงินติดตัวไปแค่หนึ่งพันบาทเป็นค่ารถ และในที่สุดผมได้ไปขุด

ทองที่ภูเก็ตเหมือนกับเวลาที่ผู้ใหญ่เขาคุยกันสมัยก่อนว่า ใครไปทำงานขุดพลอยเมืองจันทบุรี หรือ

ไปทำแร่ภาคใต้เท่ากับไปขุดทอง แต่สิ่งที่มีคุณอนันต์ตรงกันข้ามก็จะมีโทษมหันต์เหมือนกัน ไปร่ำ

รวยกันมาก็มากพากันไปตายมาก็เยอะผมนั่งรถไป ใจก็คิดว่าเราจะไปแล้วรวยหรือไปตายก็ยังไม่รู้

คิดไปคิดมายิ่งสับสน ผมจึงคิดว่าตายเป็นตาย ผมต้องหาเงินรักษาแม่ให้ได้ มือก็กำลูกกลม ๆ ของ

หลวงพ่อดู่และอธิษฐานว่า "เรือลำไหนที่ดีเจ้าของเป็นคนดีมีเมตตาอยู่แล้วจะมีเงินมาก หรือร่ำรวย

ขอให้ผมได้ไปอยู่กับผู้นั้นด้วยเถิดสาธุ" และผมก็ไปถึงจุดหมายปลายทาง ที่นั่นเป็นท่าเรือใหญ่ผู้

คนมองดูพลุกพล่านคุยกันเสียงดังอย่างไม่มีใครเกรงใจกันบางกลุ่มก็คุยภาษาอีสานบางพวกก็พูดใต้

มีคนส่วนน้อยที่พูดภาษาภาคกลาง ที่นี่มีคนจากหลายจังหวัดหลายพ่อหลายแม่น้อยคนที่จะมองดูแล้ว

บอกได้ว่าเป็นคนสุภาพแทบจะหาไม่เจอเลยทีเดียว ส่วนมากจะท่าทางนักเลง บางคนก็ตัวดำยังไม่

พอแถมยังสักยันต์เต็มตัว มองดูแล้วไม่น่าไว้ใจ หรือที่เขาเรียกกันว่าน่ากลัว ผมเดินตามพี่คนที่พา

ผมไปทำงาน เขาบอกว่าตัวเราชื่อโก๋ พี่โก๋ เดินนำหน้า ผมเดินตามเดินผ่านวงเหล้าที่นั่งกินกันเป็น

กลุ่ม ๆ บางคนหันมาเห็นพี่โก๋ก็ร้องทักว่า "เฮ้ยมากินเหล้าด้วยกันโว้ยไอ้โก๋" พี่โก๋ก็จะตอบว่า "

พวกมึงกินกันเถอะ วันนี้กูยังไม่อยากเมา" พอมาถึงที่พักซึ่งเป็นเหมือนห้องแถวประมาณสิบกว่า

ห้อง ตรงกลางมีลานกว้างประมาณ 7-8 เมตร มีโต๊ะหินสองตัวต่อกันคนนั่งได้สักสิบกว่าคนสบาย

มาก ที่ตรงนั้นมีผู้ชายกลุ่มใหญ่นั่งกินเหล้ากันอยู่พอเห็นผมกับพี่โก๋ ก็ร้องทักว่า "พี่โก๋พาใครมาด้วย

ละ" พี่โก๋บอกว่า "น้องชายมันชื่อตั้ม" ในกลุ่มนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งท่าทางคงเมามากแล้วพูดว่า "

หน้ามันอ่อนอย่างนี้มึงจะพามันเล่นลิเกหรือว่ะไอ้โก๋" "กูจะพามันมาทำงานกับนายเค้า ไม่ได้มา

เล่นลิเกแบบมึงว่าหรอก" เสียงชายคนเก่าพูดว่า "ไอ้โก๋มึงยังกวนตีนเหมือนเดิมนะไม่ได้เห็น

หน้ากันเสียหลายวัน" พี่โก๋พูด "กูยังเหมือนเดิม" แล้วแกก็พาผมไปพักห้องเดียวกับแก "มึงอยู่

กับพี่ที่นี่แหละพี่อยู่คนเดียว ห้องมันใหญ่ไปจะได้มีเพื่อนคุยถ้ามึงไปอยู่คนเดียวไอ้พวกเหี้ยมันเยอะ

เดี๋ยวไม่มีคนดูแลจะเกิดเรื่อง"




เช้าของวันต่อมา พี่โก๋พาผมไปยังบ้านหลังหนึ่งใหญ่โตมาก มีคนมาเปิดประตูรั้วบ้านให้เราสองคน

เข้าไปในบ้าน มีผู้ชายตัวใหญ่ดำสักมังกรพันแขน ใส่กางเกงตัวเดียวไม่ใส่เสื้อ อยู่ที่โต๊ะทำงาน พอ

เห็นพี่โก๋ก็พูดว่า "เป็นยังไงกลับบ้านซะหลายวันพี่นึกว่าอาทิตย์หน้ามึงถึงจะกลับมาเรือมันขาดคน

ทำงานไม่ได้ดีเลยวะ" ตัวดำใหญ่ผมคิดว่าแกคงน่ากลัวแต่ที่ไหนได้แกพูดจายิ้มแย้มอารมณ์ดีท่า

ทางใจดีอีกต่างหาก ชายเจ้าของบ้านถามพี่โก๋ว่า "แล้วพาใครมาด้วยละ" แกตอบ "น้องครับพี่ ผม

จะเอามันมาฝากให้ทำงานกับพี่ครับ" "รูปมันหล่อหน้ามันอ่อนจะทำงานไหวหรือวะโก๋" "พี่ก็

ให้งานเบา ๆ ให้มันทำก็ได้" เป็นอันว่าผมได้งานทำ ในห้องนั้นที่โต๊ะรับแขกมีผู้หญิงแต่งชุดนัก

ศึกษานั่งเขียนหนังสืออยู่สามคน มุมโต๊ะมีจานขนมและผลไม้วางอยู่ พวกเธอมองผมและก็ยิ้มให้ ผม

ยิ้มตอบ พี่โก๋ลาชายเจ้าของบ้าน ผมก็ยกมือไหว้เขาและพากันกลับยังที่พัก ตอนหลังผมมารู้ว่าผู้หญิง

สามคนนั้นคนหนึ่งเป็นหลานสาวของเจ้านาย อีกสองคนเป็นเพื่อนของเธอ เรื่องมันยาวครับผมขอ

เล่าเรื่องที่สำคัญดีกวา เดือนต่อมาผมได้เงินเดือน พอได้ก็รีบส่งไปให้แม่ เงินประมาณหนึ่งหมื่น

บาทต่อเดือน ผมให้แม่เกือบหมด เหลือไว้บางเดือนก็ห้าหกร้อยบาทเท่านั้นก็พอใช้เพระผมไม่กิน

เหล้า ไม่สูบบุหรี่ คนอื่นเขาได้เงินมาก็ไปกินเที่ยวกันแต่ผมไม่ไปเพราะไม่ชอบ ที่นั้นมีทุกอย่างทั้ง

เหล้า การพนัน ผู้หญิง เพราะเรือแร่ขึ้นทีคนงานจะมีเงินกันเป็นจำนวนมาก บางคนก็ไปสิบห้าวัน

จะได้เงินประมาณสามหมื่น บางคนงานเบาเป็นคนถือสายน้ำฉีดแร่ก็จะได้ประมาณหมื่อนแปดพัน

หรือสองหมื่น คนที่ถือสาย่อดูดแร่ลงไปใต้น้ำเสี่ยงชีวิตมากก็จะได้เงินมากกว่าอื่นเป็นเท่าตัว มีคน

มากมายที่ต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่น ฆ่ากันตายก้เยอะลงไปดูดแร่เกิดเรื่องต่าง ๆ ตายกันไปจนนับ

ไม่ถ้วน ที่นั่นไม่มีใครสนใจใครเพราะเป็นที่ไกลปืนเที่ยง ฆ่ากันตายบ่อยมาก พอตายตำรวจมาตรวจ

ดูศพแล้วก็ไปโดยมาเอาผิดกับใครไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะตำรวจไม่ค่อยในใจ เพราะคนมาอยู่รวม

กันมาก ๆ เป็นร้อยพ่อพันธ์แม่ ยากแก่การดูแล มีทั้งดีและชั่วปนกันไป ผมมาอยู่ตั้งแต่ตัวยังไม่โตนัก

ตอนนั้นผมอายุ 16 ปี ตัวเล็กเอวบางร่างน้อย คนอื่นดูแล้วว่าท่าทางไม่แข็งแรง เราออกเรือจะใช้

เวลาไปกลับสิบห้าวันเจ้าของเรือตั้งเป้าของน้ำหนักแร่ไว้ว่าถ้าได้ 1,000 กิโลเมื่อไหร่ก็กลับได้

เลย แต่ถ้าสิบห้าวันแล้วยังได้แร่ไม่ถึง 1,000 กิโลต้องกลับเหมือนกันเพระอาหารและน้ำดื่มที่

เตรียมไปพอแค่สิบห้าวัน สิบห้าวันถ้าได้แร่ 700-800 กิโล ลูกเรือก็จะได้เงินน้อยแต่ถ้าได้แร่ถึง

1,000 กิโล คนถือท่อดูดแร่ที่ลงไปใต้น้ำจะได้เงินประมาณ 30,000 บาท คนฉีดน้ำบนเรือ

จะได้เงินประมาณ 20,000 บาท ถ้าเป็นผมจะได้ 10,000 บาท แต่ต่อมาผมได้เงินมากกว่า

คนอื่นเสียอีกด้วยเหตุผลว่าพี่เจ้าของเรือแกชอบผมมาก เขามีเรืออยู่หลายลำ แต่ลำที่ผมอยู่เจ้าของ

เรือไปคุมด้วยตัวเอง แกเคยบอกผมว่า ครั้งไหนที่ผมไม่สบายและไม่ได้ไปด้วยต้องไปนานจนครบ

สิบห้าวันทุกครั้งเลย แต่ถ้าผมไปด้วยอย่างมากก็แค่ 7 วันก็ได้แร่ถึง 1,000 กิโล และบางครั้งก็

ห้าวันก็มี บางหนสามวันยังมีเลย "พี่สังเกตเห็นแกเวลาที่เรือจะออกจากฝั่งจะยกสิ่งที่แขวนคอซึ่ง

เป็นเม็ดกลม ๆ เล็ก ขึ้นมายกมือพนมแล้วว่าคาถาอะไรไม่รู้ แต่คาถาของเองนี่ขลังจริง ๆ ว่ะ พี่

นับถือ" ตอนหลังถ้าผมไม่สบาย แกบอกว่าไม่ต้องหยุดงาน ไปนอนในเรือแต่ไม่ต้องทำงานก็ได้

แต่แกแบ่งเงินให้เหมือนเดิมแกว่า "แค่เองไปด้วยพี่ก็ได้กลับเร็วกว่ปกติตั้งเยอะ" ผมมาอยู่กับพี่

เขานี่ก็สามปีแล้วผมโตเป็นหนุ่มเต็มตัวตอนนี้ไม่ได้เงินน้อยแล้ว คนที่ลงถือท่ออยู่ใต้น้ำถ้าเขาได้เงิน

30,000 บาท ผมก็จะได้เงินถึง 40,000 บาท เลยทีเดียว ซึ่งผมไม่ได้มีคาถาอะไรอย่างที่เขา

ว่าหรอก เพียงแต่เวลาจะออกเรือผมก็จะยกลูกกลม ๆ ที่หลวงพ่อดู่ให้มาแล้วอธิษฐานว่า "ขอให้ผม

ปลอดภัยได้เงินมา เพื่อเอาไปรักษาแม่ด้วยเทอญ สาธุ" ออกเรือทีไรลำอื่นไม่ได้แร่กัน แต่ลำที่ผม

ไปกับได้มากและกลับเร็วกว่าลำอื่นเสมอ เจ้าของเรือจึงรักผมมากบอกว่าอยู่กันแล้วเจริญรุ่งเรือง

คนแบบนี้หายาก ผมโชคดีทั้งเรื่องงานและความรัก หลานสาวของเจ้าของเรือ เธอก็มารักผมด้วย ไม่

เพียงแค่นั้นเพื่อรักของเธอทั้งสองคนก็รักผมเหมือนกัน จึงทำให้ผมเลือกไม่ถูกว่าคนไหนดี เธอทั้ง

สามคนเป็นคนสวยและน่ารักมาก ผมเคยบอกกับเธอทีละคนว่าบ้านผมที่จังหวัดสิงห์บุรีหลังเล็ก

เพราะครอบครัวของผมยากจน เธอบอกว่าจน ๆ แหละชอบ แค่เห็นผมครั้งแรกที่ผมมาสมัครงาน

กับพี่โก๋ คืนนั้นกลับไปนอนไม่ค่อยหลับเลย ผมนึกในใจอะไรจะขนาดนั้น อยู่มาไม่นานนัก พวก

ชายหนุ่มที่หลงรักพวกเธอ แต่ผมไม่รู้ว่าคนไหนเพราะมีผู้ชายมาจีบพวกเธอมากมายหลายคน ส่วน

มากจะรวย ๆ กันทั้งนั้น

และวันนั้นก็มาถึง ผมจะต้องจำไปตลอดชีวิตอย่างไม่มีวันลืมเลยทีเดียว ผมออกเรือไปดูดแร่ตาม

ปกติแต่ครั้งนี้เจ้าของเรือไม่ได้ไปด้วยเพระเขามีธุระสำคัญต้องไปทำ ออกเรือไปเป็นวันที่สี่ได้แร่

ประมาณ 800-900 กิโลแล้ว จะกลับอีกสองวันนี่แหละ คืนนั้นอากาศดีดาวเต็มท้องฟ้า ผมยืน

คิดอะไรเพลิน ๆ อยู่ท้ายเรือ ได้ยินเสียงคนเดินมาข้างหลังจึงหันไปดูก็เห็นลูกเรือด้วยกันแต่วันนี้

เขาไม่ได้มาอย่างมิตร ในมือเขาถือปืนมาด้วย พอเขารู้ว่าผมเห็นเขา ก็ยกปืนในมือมายิงผม มีเสียงดัง

ปั้ง ปั้ง ปั้ง เป็นระยะ ๆ คมกระสุนปืนพุ่งเข้าหาผมทุกนัดอย่างแม่นยำ ตัวผมกระเด็นตกจากเรือ ตอน

นั้นผมตกใจยังทำอะไรไม่ถูก หล่นไปในน้ำมันก็มืด ผมมองไม่เห็นตัวเองได้แต่เอามือลูบ ๆ ดูว่า

แผลถูกยิงตรงไหนบ้าง แต่น่าแปลกตัวผมไม่มีบาดแผลสักแห่งเดียวแต่ผมต้องลอยคออยู่ในทะเลจน

ถึงเช้าและมีคนที่อยู่เรือลำอื่นมาช่วยและพาขึ้นฝั่ง ตอนหลังผมมารู้ว่าผู้ชายที่หลงรักผู้หญิงที่มารักผม

จ้างลูกเรือที่อยู่เรือลำเดียวกับผมเป็นเงิน 50,000 บาท เพื่อฆ่าผมทิ้งกลางทะเล ตอนที่ผมถูกยิง

ผมจำได้ว่ผมเห็นพระพุทธรูปเหมือนกับองค์ที่อยู่ที่วัดหน้าพระเมรุในพระอุโบสถจำได้ดีว่าเป็นพระ

มหาจักรพรรดิ์ มาลอยอยุ่ข้างหน้าของผม กระสุนปืนทั้งหมดทะลุผ่านองค์พระมหาจักรพรรดิ์แล้วถึง

มาโดนตัวผม ด้วยอำนาจของพระพุทธคุณนี้เอง จึงทำให้ลูกกระสุนปืนทุกนัดไม่ระคายผิวของผม ทำ

ให้ผมนึกไปถึงตอนที่หลวงพ่อดู่ท่านมอบลูกกลม ๆ ให้ผมและท่านบอกวา มีพระอยู่ในนั้น หลายปีที่

ผ่านมาผมมองดูทีไร ไม่เคยเห็นพระที่ท่านบอกสักองค์ มาเห็นพระตอนที่ผมถูกยิงนี่เอง ดีที่ผมจำคำ

สอนของหลวงพ่อดู่ได้ตลอดไม่เคยลืมคำว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง

คัจฉามิ และภาวนาอยู่ทุกวัน ถ้าไม่มีพุทธัง ธัมมัง สังฆัง ผมคงตายไปแล้ว


ผมรอดตายโดยไม่มีบาดแผลไม่สามารถเอามือปืนและคนว่าจ้างมาลงโทษได้ตามกฏหมายทั้งตำรวจ

ก็ไม่สนใจในเรื่องคดีเพราะคนที่ว่าจ้างเป็นลูกของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ผมไม่ตายยิ่งเพิ่มความโกรธ

แค้นให้กับคนที่ว่าจ้างคนมาฆ่าผมหลายเดือนผ่านไป เมื่อเขารู้ว่ากระสุนปืน ไม่อาจฆ่าผมได้จึง

เปลี่ยนวิธิใหม่เขาไปจ้างหมออิสลามหรือที่เรียกกันว่าหมอแขกเพระพวกนี้มีวิชาอาคมเข้มขลังมาก

สามารถทำคุณไสยให้คนตายมามากต่อมาก ที่นั่นคนอยู่เรือเขาไม่นิยมใส่รองเท้ากัน เพราะเวลา

เดินบนเรือมันจะลื่นง่ายเลยเป็นเรื่องไม่ยากนักที่เขาจะให้คนแอบมาเอารอยเท้าของผมไปทำ

พิธีกรรมทางไสยศาสตร์มนต์ดำ

ช่วงนั้นผมคงกำลังดวงตก อยู่ ๆ เชือกแขวนพระขาดเลยยังหาเชือกใหม่ไม่ได้ ผมเก็บลูกกลม ๆ ของ

หลวงพ่อดู่ไว้หัวนอนรุ่งเช้าก็ลืมนำติดตัวไปด้วย เที่ยวนั้นเรือดูดแร่ออกไปได้เพียงวันเดียวผมก็

ปวดท้องอย่างแรง จนพี่เจ้าของเรือจะเอาเรือเข้าฝั่ง ผมบอกว่า "อย่าเลยพี่เดี๋ยวนอนพักก็หาย"

แต่ไม่เป็นอย่างนั้น ผมเริ่มปวดจากท้องแต่เดี๋ยวก็ปวดหัวจนลูกตาแทบจะหลุดออกมาจากเบ้าตา

หนักเข้าไม่หัวอย่างเดียว ในที่สุดก็ปวดไปทั้งตัว แม้แต่กระดูกยังปวด คิดในใจว่าจะรอดหรือเปล่า

กลางคืนนอนก็ฝันเห็นแต่ฝีปีศาจจะมาเอาชีวิตบางครั้งเหมือนกับครึ่งหลับครึ่งตื่นฝีแขกใส่หมวก

แบบอิสลามมาบังคับให้ผมเอาเชือกมาผูกคอ ผมไม่ยอมทำตามมันก็บอกว่าให้ไปโดดทะเล ผมนอน

ดิ้นไปดิ้นมาปวดทรมานไปทั้งตัว ผีเข้ามาบังคับจะเอาชีวิตอีก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ตอนหลังมันมากัน

เป็นสิบ ๆ ตัว มันพูดว่ามึงต้องตาย บางตัวก็จับแขนกดเอาไว้อีกตัวก็กดขา ไอ้ตำดำสูงใหญ่เข้ามาบีบ

คอ จนผมเริ่มหายใจไม่ออก ตอนนั้นผมร้องไห้คิดถึงแม่คิดว่าคงไม่ได้กลับไปเห็นหน้าแม่อีกแล้ว

ครั้งนี้ต้องตายแน่นอน

มีเสียงหนึ่งซึ่งผมจำได้ว่าเป็นเสียงของหลวงพ่อดู่ ท่านพูดว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง พอผมได้ยินหลวง

พ่อท่านบอก ผมก็ตั้งจิตภาวนาว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ก็มี

รัศมีเป็นแสงสว่างหลายสีพุ่งออกมาจากตัวผมรอบตัวทำให้แสงรัศมีนั้นโดนปีศาสทุกตัวมันร้องอย่าง

เจ็บปวดแสงสว่างนั้นกลายเป็นไฟเผาพวกปีศาจทั้งหมดละลายไปกับอากาศ ผมเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้น

กราบหลวงพ่อดู่ ใจก็บอกตัวเองว่ารอดตายแล้ว คืนนั้นผมไม่ยอมนอน ผมนั่งสมาธิทั้งคืนจนเช้า

ประมาณแปดโมงเช้ามีเรือผ่านมาจะเข้าฝั่ง เจ้าของเรือที่ผมอยู่ รีบเรียกเรือลำนั้น ผมนอนอยู่ใต้ท้อง

เรือได้ยินเสียงเขาชัดเจน เขาบอกคนคุมเรือลำนั้นว่า "น้องกูไม่สบายฝากเข้าฝั่งด้วย" แกรักและ

เป็นห่วงผมแบบน้องชาย พอเรือเข้าถึงฝั่งผมรีบตรงไปยังห้องพักแทนที่จะไปหาหมอ ถึงห้องก็ไปที่

หัวนอนหยิบลูกกลม ๆ ยกมือพนมพระ ถึงหลวงพ่อดู่ ตั้งนะโมสามจบ แล้วภาวนาไตรสรณคมณ์ พุ

ทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เท่านั้นผมอ๊วกออกมาเป็นน้ำสีเหลือง

ๆ เหม็นไปทั่วบริเวณนั้น สิ่งที่ออกมามันเหมือนกับน้ำเหลืองผีอย่างไงอย่างนั้นเลยทีเดียว พออ๊วก

เสร็จผมรู้สึกร่างกายเบาสบายสดชื่นเหมือนไม่เคยเจ็บปวดมาเลย ทั้งที่เมื่อคืนผมปวดไปทั้งตัว ครั้ง

นี้ถ้าไม่ได้อำนาจของไตรสรณคมณ์ ผมจะเป็นอย่างไรอาจจะไม่รอดก็ได้ใครจะรู้

ตอนหลังผมมารู้ชื่อของลูกกลม ๆ ที่หลวงพ่อดู่ให้มาว่าชื่อ ลูกแก้วสารพัดนึก ภูเก็ตที่ผมไปอยู่ตรงนั้น

เขาเรียกว่า ท่านุ่น สมัยนั้นยังเป็นดินแดนป่าเถื่อนหรือที่เรียกว่า ไกลปืนเที่ยง แต่ผมก็รอดชีวิตมา

ได้ถึงสองครั้ง ครั้งแรกโดนยิง แต่กระสุนปืนไม่อาจระคายผิวของผม ครั้งสองโดนคุณไสยมนต์ดำ

ของหมอแขก แต่ก็รอดมาอีก ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีคนดีคอยช่วยเหลือ รักใคร่เมตตา โชคลาภทั้ง

ทรัพย์สินเงินทองก็ได้มาจากการทำกิน จะไปทำอะไรอาชีพเดียวกับคนอื่น คนอื่นเขาทำแล้วไม่ค่อย

ได้ดี แต่พอผมทำก็จะเจริญและร่ำรวยอย่างผิดหูผิดตา ทั้งผู้หญิงดี ๆ ก็มารักผมหลายคน ผมเป็นคนที่

ไม่ชอบแต่งตัว ทองสลึงเดียวก็ไม่เคยมีติดตัว ใส่เสื้อผ้าถูก ๆ แต่ผู้หญิงกลับมาชอบอย่างมากมาย

หลายคนเงินทองทั้งหมดที่ได้มา ผมส่งไปให้แม่หมด เหลือไว้ใช้เพียง 500-600 บาทต่อเดือน

เท่านั้น ชีวิตของผมดีขึ้นเรื่อย ๆ หลายปีผ่านไป เดี๋ยวนี้ผมกลายเป็นเศรษฐีมีเงินทองมากมายทั้งเป็น

เจ้าของเรือดูดแร่อีกหลายลำ แต่ผมไท่เคยลืมตัว ยังแขวนลูกแก้วสารพัดนึกอยู่ในคอตลอดเวลา

ผมจำได้ตอนที่หลวงพ่อดู่ให้ลูกแก้วสารพัดนึกท่านบอกว่า "เก็บติดตัวไว้ให้ดีในนั้นมีพระอยู่ อีก

หน่อยจะทำให้แกรอดตาย แล้วแกจะรวยเป็นเศรษฐี" คำพูดของหลวงพ่อดู่ ท่านศักดิ์สิทธิ์ เป็น

จริงทุกคำ ผมอยู่ที่ภูเก็ตนานจึงมีเพื่อนมากเคยมีเพื่อนคนหนึ่งมันชอบสะสมพระดัง ๆ ที่มีราคาแพง

มาก ๆ มันถามผมว่า "มึงเป็นเถ้าแก่ใหญ่เงินทองมากมาย ทำไมเอาลูกอมกลม ๆ มาแขวนคอลูก

เดียววะ ไม่หาสมเด็จวัดระฆังมาแขวนคอสักองค์" ผมตอบมันว่า "พระสมเด็จน่ะดีต้องคนมีบุญมี

วาสนาถึงจะได้มีไว้ครอบครอง สำหรับกูลูกกลม ๆ นี่แหละดีที่สุดแล้ว มึงรู้ไว้เลยนะที่กูมีวันนี้ได้ก็

เพราะลูกกลม ๆ นี้แหละ"


 
ราคาปัจจุบัน :     1,284 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     30 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    hieng124 (208)

 

Copyright ©G-PRA.COM
www1