ชื่อพระเครื่อง | กะลาพ่อครูบานันตา นันโท วัดทุ่งม้านใต้ ลำปาง (089-2055470 ชาตอเชื้อครับ) |
รายละเอียด | พระราหูเทพอสูรแห่งโชคลาภ
ตั้งแต่ช่วงปี 2538 จนถึงปัจจุบัน กระแสการนับถือพระราหูนับว่าได้รับความนิยมแทบจะอยู่ในลำดับต้นๆ (ถ้าไม่นับรวมจตุคามรามเทพ ที่มีการสร้างบูชากันอย่างมากมายในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน) เนื่องจากพระราหูได้กลายเป็นเทพเจ้า ที่มีคนเชื่อถือกราบไหว้ไม่น้อยหน้าไปกว่าเทพเจ้าองค์ใดๆ ในประเทศไทยเลย โดยได้รับความนิยมกราบไหว้บูชาจากผู้คนทุกวงการ ทุกๆ ปีจะมีการบูชาพระราหูเป็นที่ฮือฮา ออกหน้าหนังสือพิมพ์เป็นประจำ ทั้งนี้ส่วนหนึ่งย่อมมาจากการเกิดปรากฏการณ์ตามธรรมชาติในแต่ละช่วงเวลา โดยเฉพาะการเกิดจันทรุปราคาและสุริยุปราคา
โดยเมื่อปี พ.ศ.2538 นั้นได้เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนในประเทศไทย ซึ่งโอกาสเช่นนี้นานๆ ปีจะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง การเกิดปรากฏการณ์ครั้งนั้นนอกจากเกิดกระแสความสนใจในวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์แล้ว ยังกระตุ้นกระแสโหราศาสตร์และไสยศาสตร์ในการบูชาเทพพระราหูอีกประการหนึ่งด้วย และนับแต่นั้นมาเมื่อเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาก็ดี จันทรุปราคาก็ดี หลายวัด หลายสำนัก หลายครูบาอาจารย์ ทั้งพระและฆราวาสก็มักจะจัดพิธีบูชาพระราหูขึ้น ซึ่งการจัดแต่ละครั้งนั้นก็ได้รับความนิยมจากผู้คนจำนวนมากในการเข้าพิธีบูชา เรื่องราวของพระราหูหนึ่งในเทพอสูรที่ผู้คนนับถือกันทุกวันนี้นั้น ได้มีคติสืบเนื่องยาวนานมานับร้อย นับพันปี โดยพระเกจิอาจารย์ยุคเก่าที่มีชื่อเสียงในช่วงแรกที่รู้จักกันในวงการพระเครื่องและเครื่องรางก็คือ หลวงพ่อน้อย คนฺธโชโต (นามสกุลเดิม นาวารัตน์) แห่ง วัดศีรษะทอง อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ผู้สร้าง กะลาตาเดียวแกะรูปราหูอมจันทร์ และ วัวธนู อันโด่งดัง ซึ่งเครื่องรางสายนี้ของหลวงพ่อน้อยนั้นมีราคาเล่นหาในวงการสูงมากขึ้นๆ ทุกวัน จนราคาปัจจุบันก็ขึ้นไปอยู่หลักแสนหมดแล้ว โดยเฉพาะชิ้นที่สวยๆ ต่อมาในวงการเครื่องรางสายนี้เมื่อประมาณสักไม่เกินสิบปีมานี้เอง ก็มีการนำเสนอถึงเครื่องรางที่มีลักษณะเหมือนหรือคล้ายกันมาก ก็คือ เครื่องรางกะลาตาเดียวรูปราหูแกะ และ วัวธนู เช่นกัน แต่เป็นเครื่องรางที่สร้างโดยท่าน ครูบานันตา นนฺโท แห่ง วัดทุ่งม่านใต้ ต.บ้านเป้า อ.เมือง จ.ลำปาง โดยในวงการเครื่องรางนั้นมีเรื่องกล่าวฮือฮาเป็นอย่างมากว่า ท่าน ครูบานันตา เป็นอาจารย์ของ หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง (ซึ่งถ้าเทียบอายุเพียงอย่างเดียวก็อาจทำให้เชื่อคล้อยตามได้ เพราะ ครูบานันตา ท่านเกิดเมื่อ พ.ศ.2415 ส่วนหลวงพ่อน้อยท่านเกิดเมื่อ พ.ศ.2435 ครูบานันตา ท่านแก่กว่าหลวงพ่อน้อย 20 ปี แล้วเครื่องรางที่ท่านสร้างก็มีลักษณะที่ใกล้เคียงกัน ทั้งกะลาราหูและวัวธนู (แต่มีรูปลักษณะหน้าตาของเครื่องรางที่แตกต่างกัน) แต่ผู้เขียนก็อยากยืนยันตามหลักฐานที่มีปรากฏอยู่จริงว่า จริงๆ แล้วท่านทั้งสองไม่เกี่ยวข้องกัน เนื่องด้วยรูปร่างลักษณะรายละเอียดของตัวเครื่องรางก็มีความต่างกันชัดเจน รูปแบบวิธีการบูชารวมถึงคาถาก็แตกต่างกัน อีกทั้ง คุณยายเม้ย ซึ่งเป็นพี่สาวของหลวงพ่อน้อย ก็เคยได้กล่าวกับผู้เขียนเรื่องประวัติหลวงพ่อน้อยในอดีต (อ.สุธน ศรีหิรัญ บ.ก.บริหารฯ ของลานโพธิ์) ไว้ว่า หลวงพ่อน้อยท่านเรียนวิชาอาคมในเรื่องการสร้าง กะลาราหูและวัวธนู มาจากโยมพ่อของท่านที่เป็นหมอไสยศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น โดยอาศัยตำราเก่าแก่ตกทอดของ หลวงพ่อไตร อดีตเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดศีรษะทอง ซึ่งหลวงพ่อไตรท่านเป็นชาวลาวเวียงจันทน์ที่อพยพมา (จริงๆ แล้วท่านถูกกวาดต้อนเกณฑ์มา) ตั้งแต่เมื่อสมัยรัชกาลที่ 1 ทรงเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก อัญเชิญ พระแก้วมรกต จากเมืองหลวงพระบาง เวียงจันทน์ มาประดิษฐานที่ธนบุรีและกรุงเทพฯ แต่เรื่องเกี่ยวกับที่มาของเครื่องรางของพระเกจิอาจารย์ทั้งสองท่านนั้นต่างก็มีที่มาจากแหล่งต้นกำเนิดเดียวกัน ก็คือ ประเทศลาว ซึ่งผู้เขียนจะค่อยๆ กล่าวแทรกให้ท่านผู้อ่านทราบโดยลำดับไป) ทำให้ราคาเครื่องรางประเภทต่างๆ ของครูบานันตาได้ถีบตัวสูงขึ้นไปอยู่หลักแสนอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดของผีทำเทียมเลียนแบบกันอย่างมากมายในเขตภาคเหนือตอนบน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ซึ่งโดยแท้จริงแล้วโดยตัวท่าน ครูบานันตา นั้นท่านก็เปี่ยมด้วยบารมีธรรมมาช้านานแล้วรวมถึงชื่อเสียงอิทธิคุณ ในด้านเครื่องรางคาถาอาคมก็เป็นที่รู้จักกว้างขวางในยุคนั้น โดย ครูบานันตา มักจะได้รับการอาราธนานิมนต์ไปนั่งปรกปลุกเสกใหญ่ๆ หลายพิธีด้วยกัน ซึ่งก่อนที่เราจะเข้าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการสร้างวัตถุมงคลเครื่องรางของท่าน ครูบานันตา นั้น ผู้เขียนขอนำเสนอข้อมูลพื้นฐานที่เป็นประโยชน์สำหรับการศึกษาเครื่องเครื่องรางสายนี้ก่อน ดังนี้
ตำนานพระราหู ต้นเทวกำเนิดจากพระอิศวร
ซึ่งมีการกล่าวถึงการกำเนิดขึ้นของพระราหูอยู่หลายตำนาน โดยในตำนานแรกนั้นจะแสดงถึงตำนานทางคติพราหมณ์ ในตำราไสยศาสตร์ หรือโหราศาสตร์ของพราหมณ์นั้น แสดงถึงการกำเนิดเทพยดานพเคราะห์ทั้ง ๙ พระองค์ ไว้ดังนี้
เทพยดานพเคราะห์ทั้ง ๙ พระองค์นั้น ล้วนบังเกิดขึ้นจากเทวบัญชาของพระอิศวร โดยเมื่อบังเกิดนั้นพระอิศวรทรงเป็นผู้สร้างด้วยพระองค์เองทุกพระองค์ ดังนั้นเทพยดานพเคราะห์ทั้ง ๙ จึงล้วนมีฤทธิ์ มีศักดาอานุภาพมาก
ในเทพยดานพเคราะห์ทั้ง ๙ นี้ มีองค์หนึ่งทรงเป็นเทพอสูร ที่มีฤทธิ์เดชร้ายกาจมากนัก อานุภาพเป็นที่ยำเกรงของทวยเทพเทวาทั้งหลาย ด้วยไม่อาจต้านทานพลานุภาพของพระองค์ได้ นั่นคือ พระราหูจอมอสุรินทร์ ซึ่งได้บรรยายถึงกำเนิดพระองค์ไว้ว่า
ครั้งนั้นพระอิศวรเจ้าได้นำเอาหัวผีโขมด จำนวน ๑๒ หัว มาป่นให้เป็นธุลี จากนั้นห่อด้วยผ้าสีดำเสกเป่าแล้วพรมลงด้วยน้ำอมฤต บัดดลบังเกิดขึ้นเป็นอสุรเทพนามว่า พระราหู บ้างก็เรียกว่า อัมพรปีศาจภารณีภูกรหะ
พระราหูมีร่างกายใหญ่โตเหลือประมาณ ครึ่งบนเป็นเทพอสูร ครึ่งล่างนั้นเป็นงู (ซึ่งเครื่องรางกะลาราหูแกะของหลวงพ่อน้อยยุคแรกที่หายากมากๆ จะแกะเป็นพระราหูลักษณะที่ครึ่งบนเป็นเทพอสูร และครึ่งล่างเป็นงู โดยผู้เขียนได้นำภาพประกอบมาลงให้ท่านผู้อ่านเป็นความรู้แล้ว เพราะกะลาราหูชิ้นนี้เดิมเป็นสมบัติตกทอดของคุณยายเม้ย พี่สาวของหลวงพ่อน้อย) ทรงเดชาอานุภาพครอบงำได้ทั้งสามโลก เป็นที่เกรงกลัวต่อพระอาทิตย์ พระจันทร์ นับเป็นเทพยดานพเคราะห์อันดับที่ ๘ มีกำลังนพเคราะห์เป็น ๑๒ เป็นเทพแห่งวันพุธกลางคืน
ส่วนตำนานของพราหมณ์อีกสายหนึ่งกล่าวถึงกำเนิดของพระราหูไว้ว่า พระราหู ในทางศาสนาฮินดูถือว่าเป็นพวกแพศย์ ซึ่งหมายถึงอสูรหรือยักษ์ มี 2 มือ หน้าดุ เป็นบุตรท้าววิประจิตติกับนางสิงหิกา เมื่อถือกำเนิดเกิดมามีหางเป็นหางนาค ผิวผ่องกาฬวรรณ (ดำเลื่อมมัน) เมฆหมอก สีม่วง, ม่วงแก่ มีวิมานเป็นสีนิลอยู่ในอากาศ ประดับอาภรณ์ล้วนสัมฤทธิ์ มีครุฑเป็นพาหนะ
กล่าวกันว่า อิทธิฤทธิ์ของอสูรเทพราหูนั้นพิสดารอย่างยิ่ง เมื่อแรกกำเนิดนั้นมีร่างกายครึ่งบนเป็นยักษ์ ครึ่งล่างเป็นพญานาค มีร่างกายสีทองอมดำสัมฤทธิ์ พาหนะที่ท่านทรงนั้น ในตำราบางแห่งกล่าวว่าทรงครุฑเป็นพาหนะบ้าง บ้างว่าทรงเมฆหมอก และเมฆหมอกที่ทรงนั้นมีรูปร่างดั่งครุฑ ที่เป็นเช่นนี้เพราะแสดงให้เห็นว่าพระราหูนั้นก็เป็นผู้ควบคุมธาตุน้ำ และธาตุลม บางตำราเห็นพระราหูทรงพาหนะเป็นยักษ์ก็มีเหมือนกัน พระราหูจึงเป็นหนึ่งในเทพยดาที่มีฤทธิ์มาก นิสัยนักเลงไม่กลัวใคร ทางโหราศาสตร์ถือว่ามีพระเสาร์เป็นเพื่อนสนิท เมื่อพระราหูกำเนิดแล้วยังมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย
เล่าว่าในกาลต่อมาพระราหูได้แอบขโมยน้ำอมฤตเพื่อดื่มกินให้ตนเองเป็นอมตะ มีอำนาจเหนือเทพยดาทั้งหลาย แต่พระอาทิตย์และพระจันทร์ซึ่งคอยระวังเรื่องนี้อยู่แล้วแอบรู้เห็นการกระทำของพระราหูเข้าจึงทูลบอกเรื่องนี้ต่อองค์พระนารายณ์ เมื่อพระนารายณ์ทราบว่าพระราหูอาจเป็นภัยต่อทั้งสามโลกจึงทรงกริ้วอย่างยิ่งนัก ขว้างจักรเข้าตัดกลางกายของพระราหูเสีย แต่ดีที่ว่าอำนาจแห่งน้ำอมฤตที่พระราหูนั้นได้ทรงดื่มกินเข้าไปแล้วจึงหาได้ตายลงไม่ โดยแม้พระราหูจะมีเพียงครึ่งกายก็ยังมีอำนาจท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นท่อนล่างมีลักษณะเป็นงูพญานาคนั้น ได้กลายเป็นเทพยดาขึ้นใหม่อีกพระองค์หนึ่งนามว่า พระเกตุ ทรงฤทธิ์เดชไม่แพ้กัน โดยทางโหราศาสตร์ถือว่าพระเกตุนี้เป็นเทพคุ้มครองดวงชะตา ใครมีพระเกตุกุมลัคน์คนนั้นมักปลอดภัยจากภยันอันตรายทั้งหลายทั้งปวง
ส่วนพระราหูนั้นคิดแค้นในใจต่อพระอาทิตย์และพระจันทร์มาเสมอ ที่แอบเอาเรื่องที่พระราหูดื่มน้ำอมฤตไปทูลฟ้อง จนเป็นเหตุให้ตนเองต้องโดนจักรพระนารายณ์ตัดร่างขาดเป็นสองท่อนเช่นนี้ เมื่อได้โอกาสเหมาะเมื่อใดพระราหูจึงเข้าจับพระอาทิตย์พระจันทร์กลืนกินทุกครั้ง แต่เมื่อได้ยินเสียงตีเกราะเคาะไม้ก็คายพระอาทิตย์ พระจันทร์ออกมา โดยการกลืนพระอาทิตย์ของพระราหูนั้นเรียกว่า สุริยคราส หรือ สุริยุปราคา ส่วนการกลืนพระจันทร์ก็เรียกว่า จันทรคราส หรือ จันทรุปราคา ซึ่งก็คือปรากฏการณ์อันน่าตื่นเต้นสนใจในทางดาราศาสตร์มาจนทุกวันนี้ |
ราคาเปิดประมูล | 12,000 บาท |
ราคาปัจจุบัน | 12,050 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!) |
เพิ่มขึ้นครั้งละ | 50 บาท |
วันเปิดประมูล | - 02 มิ.ย. 2557 - 15:01:40 น. |
วันปิดประมูล | - 05 มิ.ย. 2557 - 11:04:08 น. (ปิดประมูลแล้ว) |
ผู้ตั้งประมูล | chatcheor (1.5K)
|