เปรียบเทียบพระที่ตรวจสอบ
โดยคุณ ส่วนงานตรวจสอบฯ [พ. 24 เม.ย. 2567 - 08:36 น.] #88121 (17/17)
88 # 3อจ670419-141 ED076441100TH yotaabt + somkiatthornburi (615975) ส่งพระตรวจสอบ 1 องค์ พระแท้สามารถออกบัตรได้ 1 องค์
พระสมเด็จหลังพระสิวลี หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม พิมพ์ใหญ่(เอวใหญ่) เนื้อผง(เทา) ปี 2515 จ.ชัยนาท
https://www1.g-pra.com/auction/view.php?aid=28573380
http://www1.g-pra.com/auctionc/view.php?aid=6765751
พระห้าสิบปี
ข้อมูลเพิ่มเติม 1 ส. - 05 พ.ย. 2559 - 11:40:15 น.
พระสมเด็จฐานสามชั้น หลังพระสิวลี เป็นพระที่หลวงพ่อสร้างเอง ผสมเนื้อ และกดพิมพ์ สร้างเมื่อ ประมาณ ปีพ.ศ. 2514 2515 กดพิมพ์เองที่วัดบ้านแค เป็นการกดแบบทำเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน ได้จำนวนมากพอควร และหลวงพ่อเสกเองทั้งหมดพระทั้งหมด แตกกรุออกมาเมื่อปี พ.ศ. 2539 แต่ยังไม่เผยแพร่มากนัก เพราะพระไปตกอยู่ในมือ นักขุดกรุ ที่ให้เช่าเข้ารังใหญ่ทั้งหมด เพิ่งจะมีการนำพระออกจากรัง พระสมเด็จพิมพ์ ฐาน 3 ชั้น หลังเป็นพระสิวลี ซึ่งท่านลบ ถม ทำผง เอง และได้กดเป็นพระสมเด็จหลังพระสิวลีขึ้น พระพิมพ์นี้ ท่านปลุกเสกให้เป็นอย่างดี ยิ่งกว่านั้นยังมีผงพระสมเด็จของแท้ผสมด้วย และผ่านการปลุกเสกจากหลวงพ่อกวย หลายวาระด้วย กัน จึงมีพุทธคุณสูง สามารถแก้เวร ตัดกรรมได้ ผู้บูชาเจริญรุ่งเรือง และด้วยว่าด้านหลังแกะพิมพ์เป็นพระสิวลี ท่านจึงเสกเน้นหนักด้าน โชคลาภ โภคทรัพย์ ทำมาหากินขึ้นดี อีกด้วย
หากท่านอยากได้พระสมเด็จแท้ ๆ ของหลวงพ่อกวย ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นหน่อเนื้อเชื้อสมเด็จ ไว้บูชาสักองค์ สององค์หรืออยากหาพระหลวงพ่อกวยแท้ ๆ ที่ราคาไม่แพงนัก เก็บรักษาไว้ให้ลูกหลาน เพราะต่อไป จะหาพระแท้ ที่หลวงพ่อกวย เสกไว้จริง และเสกเป็นเวลายาวนานอย่างนี้ ยากขึ้นทุกที หรือท่านอยากจะได้พระสมเด็จที่มีพุทธคุณสูง อำนวยความเจริญ รุ่งเรือง แก่ผู้บูชา ทำให้ค้าขายขึ้น ประกอบกิจการงานใด ๆ ก็ เจริญ รุ่งเรือง เป็นเมตตา มหาลาภ แก่คนทั่วไป อยากจะแนะนำให้ท่านรีบหาพระสมเด็จของหลวงพ่อกวย พิมพ์หลังพระสิวลี ไว้บูชากัน
จุดสังเกตในพระสมเด็จพิมพ์นี้ ของหลวงพ่อกวย เผื่อท่านไปพบเจอที่ไหน จะได้ดูได้ว่าเป็นพระรุ่นที่หลวงพ่อทำหรือไม่ คือ
1. เนื้อพระส่วนใหญ่ จะเป็นเนื้อผงผสมน้ำมันตังอิ้ว (ที่เป็นเนื้อผงใบลานจัด ๆ และเนื้อผงอิทธิเจ นั้นมีน้อย) ซึ่งผ่านมาถึงปัจจุบันตกเกือบ 40 ปีแล้ว พระจึงแห้งผาก แลดูแกร่ง และบางองค์ก็ปรากฏคราบกรุให้เห็น พิมพ์ทรง คมชัด เนื้อแกร่ง เก่า ได้อายุ หลายองค์ มีรอยเนื้อปลิ้น เนื้อเกิน ของการกดพระให้เห็น จึงตัดปัญหาเรื่องของเก๊ ของปลอม ของทำเสริมออกไปได้
2.เนื่องจากเป็นการกดพิมพ์คันโยก พระส่วนใหญ่ จะมีเนื้อเกิน เนื้อล้น ไม่ด้านหน้าพระ ก็ด้านหลังพระ มากบ้าง น้อยบ้าง ตามแต่แรงกดพระ
3.ทั้งพระพิมพ์เอวเล็ก และเอวใหญ่ องค์พระด้านหน้า บริเวณข้อพระหัตถ์ข้างซ้ายมือองค์พระ จะปรากฏเส้นปลายจีวร ในพิมพ์ ที่เซียนพระสายหลวงพ่อกวย เรียกว่า มีกำไล ทุกองค์ และเห็นชัดเจน ในองค์ ที่สวย สภาพเดิม คล้ายเป็นอุบายธรรม ที่หลวงพ่อกวย ท่านแสดงให้เห็นว่า ท่านปลุกเสกพระพิมพ์นี้ ให้มีพุทธคุณด้านโภคทรัพย์สูง ทำมาหากินดี มากที่สุด มีกำไล ไม่มีขาดทุน และ พระสิวลีด้านหลัง ทั้งพิมพ์เอวเล็ก และเอวใหญ่ จะมีขอบสองขอบ และอักขระ นะชาลิติ ปรากฏอยู่ สี่มุม จึงจะเป็นพระที่หลวงพ่อกวย สร้างโดยแท้
ข้อมูลเพิ่มเติม 2 อา. - 19 มิ.ย. 2559 - 09:46:06 น.
เปรียบเทียบพระที่ตรวจสอบ
http://www1.g-pra.com/auctionc/view.php?aid=6765751
ประวัติ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร วัดโฆสิตาราม (วัดบ้านแค) จ.ชัยนาท
หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร เดิมชื่อเด็กชายกวย ปั้นสน เกิดวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๘ ปีมะเส็ง ณ หมู่บ้าน บ้านแค หมู่ ๙ ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท เป็นบุตรของคุณพ่อ ตุ้ย ปั้นสน บ้านเดิมอยู่วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง มารดาชื่อคุณแม่ต่วน เดชมา เป็นคนบ้าน แค ท่านทั้งสองมีบุตรและธิดาด้วยกัน ๕ คน
คนที่ ๑ ชื่อนายตุ๊ ปั้นสน คนที่ ๒ ชื่อนายคาด ปั้นสน คนที่ ๓ ชื่อนายชื้น ปั้นสน คนที่ ๔ ชื่อนางนาค ปั้นสน คนที่ ๕ พระกวย ชุตินฺธโร
ปัจจุบันพี่น้องของท่านและท่านได้มรณภาพหมดแล้ว
เด็กชายกวย ปั้นสน เป็นบุตรคนสุดท้องของบิดามารดา ถือว่าเป็นบุตรคนเล็กที่ ก็เป็นที่รักรักใคร่ของบิดามารดา เมื่อโตขึ้นบิดา มารดาจึงได้นำมาฝากไว้กับ หลวงปู่ขวด ณ วัดบ้านแค เพื่อเรียนหนังสือ ในสมัยนั้นบ้านเมืองยังเป็นป่าเป็นดง จะหาโรงเรียน เรียนก็ยาก เพราะห่างไกลความเจริญ หลวงปู่ขวด ได้ไต่ถามถึงวัน เดือน ปีเกิดของเด็กชายกวย ตลอดจนลักษณะผิวพรรณ การ เดินและการพูดจา เด็กชายกวยมีวันเดือนปีเกิดของมหาบุรุษ แสดงว่าวันข้างหน้าจะได้ดีเป็นเจ้าคนนายคน ลักษณะสีผิว สีผิวขาว เหลืองแบบคนมีปัญญา สีผิวต่างจากบิดามารดา ริมฝีปากเล็กแสดงว่าเป็นคนพูดน้อย ประกายตากล้าแข็งเด็ดเดี่ยว แสดงว่าเป็น คนเด็ดเดี่ยวเด็ดขาด แต่เจ้าอารมณ์ การเดินก็แคล่วคล่องปราดเปรียว หลวงปู่ขวดได้พอใจและรับไว้เป็นศิษย์ ได้สอนหนังสือ ก.กา สระ ตัวสะกด การันต์ แล้วเรียนบวก, ลบ, คูณ, หาร จนคล่อง
เด็กชายกวยยังได้อ่านหนังสือธรรมบท บทสวดมนต์ต่าง ๆ ของพระ เด็กชายกวยก็ท่องได้ทั้ง ๆ ที่อายุเพียง ๖-๗ ขวบเท่านั้น หลวงปู่ขวดจึงได้ให้เด็กชายกวยเรียนหนังสือขอม เรียนสูตร, สน นาม อีกมากมาย เด็กชายกวยก็เรียนได้ จำได้ หลวงปู่ขวดได้ทุ่มสติปัญญาในการสอนเด็กชายกวยจนเต็มกำลัง เพราะรู้ในชะตา ของเด็กชายกวยว่า วันข้างหน้าอาจจะได้บวชในพระศาสนา จะได้เป็นใหญ่เป็นโต ทั้ง ๆ ที่หลวงปู่ขวดชราภาพมากแล้ว ต่อมา หลวงปู่ขวดก็มรณภาพ บิดามารดาจึงได้นำเด็กชายกวยมาเรียนหนังสือขอมต่อกับอาจารย์ดำ วัดหัวเด่น
ซึ่งใกล้ ๆ กับวัดบ้านแค เมื่อเรียนหนังสือขอมจนแตกฉานแล้ว บิดามารดาจึงได้พาเด็กชายกวยมาเรียนที่โรงเรียนวัดพร้าว ต.ดอนกำ อ.สรรคบุรี โดยเดิน ทางไปเรียนเพราะไม่ไกลนัก ได้สอบไล่ ชั้น ป.๑ และ ป.๒ เด็กชายกวยแทบจะไม่ได้ความรู้อะไรเพิ่มเติมเลย เพราะเด็กชายกวย ได้เรียนมากับหลวงปู่ขวดและอาจารย์ดำมาแล้ว แถมยังมีความรู้มากกว่ารุ่นเดียวกันมากนัก ภาษาขอมก็เขียนได้ อ่านได้แตกฉาน เด็กชายกวยจึงเบื่อที่จะเรียนในโรงเรียนอีก จึงได้ช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพทำไร่ไถนา ระหว่างที่นายกวยทำไร่ไถนานี้ นาย กวยคิดถึงแต่หลวงปู่ขวด คิดถึงแต่วัด การทำไร่ทำนาหาไปใช้ไปไม่มีแก่นสาร หาประโยชน์อะไรไม่ได้ ช่วงนี้ตามคำบอกเล่าของ ผู้เฒ่าผู้แก่ บอกว่านายกวยไม่ได้ประพฤติเป็นคนเกเรเหมือนกับคนเมืองสรรคบุรีสมัยนั้น จากคำบอกเล่าชองหลวงพ่อกวยเอง
เมื่อถามถึงชีวิตในวัยหนุ่ม หลวงพ่อกวย ท่านเล่าว่า ท่านเป็นคนซน คือซุกซน ชอบยิงกระสุน (รูปร่างคล้ายธูน แต่ใช้ลูกดินยิง) คือบ้านไหนตอนกลาง คืนไม่ยอมปิดประตูหน้าต่างให้ดี ท่านจะแกล้งเอาคันกระสุนยิง เพื่อเตือนให้เจ้าของบ้านปิดประตูหน้าต่างให้ดี ในวัยหนุ่มนั้น ท่านได้พูดกับบิดามารดาว่า ถ้าตัวเองได้บวชเมื่อไรจะบวชไม่สึก ซึ่งท่านเคยเล่าให้คุณย่าฉวย เทียนจัน คนหัวเด่นเป็นพี่คุณยาย ฉายคนที่ดูแลท่านก่อนมรณภาพ อายุย่าฉวนมากกว่าหลวงพ่อ ๓-๔ ปี ท่านได้เล่าถึงมูลเหตุของการบวชไม่สึกว่า ตอนสมัยท่านหนุ่ม ๆ ท่านมีคนรักอยู่เหมือนกัน ท่านเคยขึ้นกาคนรักของท่านในตอนกลางคืน โดยปีนหน้าต่างเข้าไปหา ท่านไม่ได้ พูดไว้ว่าขึ้นหาบ่อยหรือไม่ และไม่ได้บอกว่าคนรักของท่านชื่ออะไร คืนวันหนึ่งเดือนหงาย พระจันทร์เต็มดวง ท่านนัดกับคนรัก ของท่านว่าจะไปหา แต่เมื่อท่านไปแล้ว ปรากฏไม่กล้าเข้าไปหา เพราะแสงจันทร์สว่างมากกลัวว่าที่พ่อตาจะเห็น ท่านได้คอยจน กระทั้งเดือนตก คือดึกมากแล้ว ท่านได้ปีนขึ้นไปหาคนรักของท่านปรากฏว่าคนรักของท่าน คอยท่านจนหลับไป ท่านได้เข้าไปดู คนรักของท่านนอนหลับอยู่ ผมผ้ายุ่งเหยิงนอนอ้าปากน้ำลายไหล ผ้าผ่อนเปิดคล้ายคนตาย คล้ายซากศพ หาความงามไม่ได้เลย ท่านได้ถอยหลังออกมาแล้วปีนหน้าต่างกลับ และท่านไม่ได้ไปหาคนรักของท่านอีกเลย และไม่มีคนรักอีก ความตอนนี้คล้ายคลึงกับ
เรื่องของพระยศะในพุทธกาล แสดงว่าหลวงพ่อกวยไม่ยินดีในกามคุณตั่งแต่ก่อนบวช เมื่อท่านอายุครบบวช บิดามารดาท่านจึงได้ จัดการอุปสมบทให้ แต่นายกวยได้พูดกับบิดามารดาว่า ถ้าจะบวชให้ตนก็ขอให้บวชกันที่วัดไม่ให้จัดพิธีใหญ่โต ไม่ต้องมีการแห่แหน ให้เปลืองเงินเปลืองทอง โดยท่านให้เหตุผลของครูบาอาจารย์คือหลวงปู่ขวดและอาจารย์ดำว่า "พระเทศน์ก็ต้องรู้จักเวลา ผู้ศรัทธาก็ต้องรู้จักกำลัง " บิดามารดาจึงได้พานายกวยไปหาอุปัชฌาย์ คือ พระชัยนาทมุนี จัดการโกนหัวบวชให้ มีหลวงพ่อปา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์หริ่งเป็นอนุสาวนาจารย์ บวชเมื่อวันที่ ๕ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ เวลา ๑๕ นาฬิกา ๑๗ นาที อายุ ๒๐ ปี ณ วัดโบสถ์ ต.โพธิ์งาม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท มีฉายาว่า ชุตินฺธโร แปลว่า "โลกนี้มีแต่ความวุ่นวายของโลก หนักไปด้วยกิเลส ตัณหาคือ โลภ โกรธ หลง ทั่งสิ้น ถ้าท่านผู้ใดตัดกิเลส ตัณหาได้ก็จะถึงซึ่งฝั่งพระนิพพาน"
เมื่อบรรพชาอุปสม บทแล้วก็กลับมาจำพรรษาอยู่วัดบ้านแค ตอนนั่นหลวงปู่มาเป็นเจ้าอาวาสอยู่ พระกวย ชุตินฺธโร จึงหัดเทศน์เวสสันดรชาดก กันกุมาร, ทานกัณฑ์ ในแถบนั้นสมัยนั้นไม่มีใครสู้ท่านได้เลย ท่านเทศน์แหล่หญิงหม้ายกล่าวถึงพระนางมัทรี และเทศน์แหล่ชาย หม้ายกล่าวถึงพระเวชสันดรต้องไปอยู่ป่าหิมพานต์ ถ้าไม่มีพระนางมัทรีตามเสด็จไปด้วย ก็จะเป็นชายหม้าย ส่านพระนางมัทรี ก็จะเป็นหญิงหม้าย ท่านเทศน์แหล่ถึงการเป็นหญิงหม้ายชายหม้าย มีแต่คนนินทาว่าร้าย คงจะไม่ดีสามีถึงได้ทิ้ง คนแต่งตัวคน เขา ก็ว่าคงอยากจะมีผัวจนตัวสั่น ครั้นไม่แต่งตัว คนเขาก็ว่ารูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่ สามีถึงได้ทิ้ง ส่วนชายหม้ายนั้นก็น่าสงสาร มีแต่คน เขาว่าคงจะไม่ดีเมียถึงได้ทิ้ง คงจะเป็นคนเกเรเป็นนักเลงสุราหรือนักเลงการพนัน จะอยู่จะกิน ก็อด ๆ อยาก ๆ ลูกเต้าหรือก็ ขะมุกขะมอม บ้านก็ผุก็พัง เพราะขาดกำลังใจ ท่านแหล่ขนาดหญิงหม้าย ชายหม้าย ไม่อาจนั่งฟังบนศาลา ต้องหลบไปแอบฟัง ที่ ใต้ต้นไม้ บางคนนั่งน้ำตาไหลเป็นบาง บางคนร้องไห้โฮ ชื่อเสียงของท่านในการเทศน์ทานกัณฑ์นั้นโด่งดังมาก แต่กัณฑ์อื่น ๆ หลวงพ่อก็เทศน์ไม่ดีนัก
เพราะการเทศน์เวสสันดรชาดกนั้นพระนักเทศน์ต้องตลกคะนอง แต่หลวงพ่อกวยไม่ชอบตลกคะนอง ปัจจุบัน ใบในการเทศน์ของท่านยังอยู่ที่วัด หลวงพ่อเขียนไว้ว่า พระกวยสร้างถวาย แล้วตอกตรารูปสิงห์ชูคอเอาไว้ อยู่ต่อมาหลวงพ่อได้หยุดเทศน์โดยหลบหรือแอบไปเรียนวิชาแพทย์โบราณกับหมอเขียน หมอเขียนคนนี้สามารถรักษาโรคระบาด หรือโรคห่าได้ ตอนนั้นคนเป็นโรคระบาดที่บ้านโคกช้าง ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก หมออื่น ๆ ก็ตาย เหลือหมอเขียนคนเดียว สามารถรักษาโรคห่า, โรคไข้ทรพิษได้ ในวันที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๒ พระกวยได้มาเรียนปริยัติธรรม
เพื่อให้เจริญใน ศาสนา ได้มาอยู่วัดวังขรณ์ ๒ พรรษา ต.โพธิ์ชนไก่ พรรษาต่อมาได้เรียนธรรมโท แต่พอสอบได้เป็นไข้ไม่สบายเลยไม่ได้สอบ จึงมาคิดได้ว่าปริยัติธรรมก็เรียนมาพอสมควร จึงอยากจะเรียนวิปัสสนากรรมฐานและอาคมตลอดจนวิธีทำเครื่องรางของขลัง จึงได้เดินทางไปเรียนวิชากับหลวงพ่อศรี วิริยะโสภิต แห่งวัดพระปรางค์ จ.สิงห์บุรี หลวงพ่อศรีองค์นี้เชี่ยวชาญในวิปัสสนา กรรมฐานมาก เก่งที่สุดในจังหวัดสิงห์บุรี ขณะนั้นหลวงพ่อได้เรียนวิชาทำแหวนนิ้ว ซึ่งแหวนนิ้วของหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ ใต้ท้องวงจะตอกตัวขอมอ่านว่าอิติ ของหลวงพ่อก็เช่นกันและได้เรียนวิชาอีกหลายอย่าง ได้จำพรรษาอยู่วัดหนองตาแก้ว ต.โคกช้าง อ.เดิมบาง จ.สุพรรณบุรี ที่วัดตาแก้วนี้ หลวงพ่อได้ปลูกต้นสมอไว้ ๑ ต้น ปัจจุบันยังอยู่ หลวงตาสมาน เคยไปอยู่วัด หนองตาแก้ว ได้นำไก่แจ้เอาไปนอนบนต้นสมอ ปรากฏว่าไก่ไม่ยอมนอน ไม่ทราบว่าหลวงพ่อได้ลงวิชาอะไรไว้ ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อ เพิ่งอายุ ๒๘ ปี พรรษาได้ ๘ พรรษา
แสดงว่าหลวงพ่อกวยเป็นผู้มีอาคมตั้งแต่ยังเป็นพระหนุ่ม ได้จำพรรษาที่วัดหนองตาแก้ว ๑ พรรษา ในวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ได้มาจำพรรษาที่วัดหนองแขม ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท อีก ๑ พรรษา ได้เรียน แพทย์แผนโบราณต่อกับโยมป่วน บ้านหนองแขม และเรียนแพทย์แผนโบราณต่อกับหมอใย บ้านบางน้ำพระในขณะที่พักจำ พรรษาที่วัดหนองแขม ไก้มีเพื่อนภิกษุชื่อ แจ่ม ได้เดินทางท่องเที่ยวไปพบตำราเป็นสมุดข่อยอยู่ในโพรงไม้ แต่เอามาไม่ได้ เพราะตำรานั้นมีอาถรรพณ์แรงมาก คล้ายมีเทพและเทวดารักษา จึงได้มาชักชวนพระกวยให้ไปดู ปรากฏว่ามีตำราอยู่โพรงไม้จริง มีรอยคนเอาพวงมาลัยดอกไม้ ธูปเทียนมาบูชา ใต้โคนไม้ พระภิกษุ กวย จึงได้จุดธูปบอกเล่า และ อธิฐานว่า "ถ้าจะให้ข้าพเจ้าเอา ตำรานี้ไปเก็บรักษาไว้ ขอธูปที่จุดนี้ให้ไหม้ให้หมดดอก" แต่ปรากฏว่าธูปได้ไหม้ไม่หมด พระภิกษุกวยจึงได้เสี่ยงสัตย์อธิษฐานขึ้น มาใหม่ว่า
"ถ้าหากว่าท่านจะให้ตำรานี้ให้ข้าพเจ้าเอาไปเก็บรักษาไว้ข้าพเจ้าจะนำเอาตำรานี้ไปทำประโยชน์แก่วัดและช่วยเหลือ ประชาชนเท่านั้น" แล้วก็จุดธูปขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายปรากฏว่าธูปได้ไหม้หมดทั้ง ๓ ดอก หลวงพ่อกวย จึงได้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ เจ้าของตำราและอัญเชิญเอาตำรานั้นมาเก็บไว้ ต่อมามีคนร่ำลือกันว่ามีคน ๆ หนึ่งได้นำตำราชุดนี้มาเก็บไว้ในบ้าน ได้เกิดเหตุวิบัติ เจ็บไข้ล้มตาย จึงเอาตำราชุดนี้มาทิ้งไว้ดังกล่าว พระภิกษุกวย เมื่อได้ข่าวดังนั้นก็มาเปิดตำราดูก็ปรากฏว่ามีลายลักษณ์อักษรบอก ไว้ในตำราว่า ตำรานี้ห้ามเอาไปไว้บ้านใคร ๆ ทั้งสิ้น มิฉะนั้นจะฉิบหาย พระภิกษุกวยจึงได้ศึกษาตำรายันต์และคาถาจากตำราเล่ม นี้ ปัจจุบันตำราเล่มนี้ยังอยู่ที่วัด หน้าปกเขียนว่าครูแรงด้วยสีแดง ปกติไม่มีใครกล้าหยิบต้อง
ผู้เขียนเคยขอร้องให้ท่านอาจารย์ สำรวย เจ้าอาวาสหยิบมาให้ดู ๑ ครั้ง ผมได้จุดธูปบอกเล่าหลวงพ่อกวย และเจ้าของตำราขอสมาโทษ ได้ขอสมาต่อหลวงพ่อกวยว่า "ผมไอ้ ครู ศิษย์คนเล็กของหลวงพ่อ ตอนหลวงพ่อมีชีวิตอยู่ ผมไม่กล้าที่จะล่วงเกินหลวงพ่อแม้แต่น้อย เคารพหลวงพ่อดุจบิดา แต่วันนี้ อาจเอื้อมเปิดตำราของหลวงพ่อ เปรียบเสมือนครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อ ขอหลวงพ่อจงอย่าได้ถือโกรธ หากพระมนต์บทใด หลวงพ่อจะให้ขอให้ผมจำได้เพียงท่องแค่ ๓ ครั้ง" ผมได้เปิดตำราดู ใจตำรามีพระมนต์และยันต์ต่าง ๆ มากมายหลายร้อยยันต์ เป็นยันต์กันอาวุธ, กันกระทำ, กันคุณ, กันของ คาถาก็มีมากมายหลายบท เป็นภาษาของคนโบราณแต่มีบทหนึ่งเขียนไว้ว่า พระมนต์พระพุทธเจ้าชนะมาร ใช้เรียกนางแม่ธรณี ใช้ทำน้ำมนต์ ฆราวาสห้ามเรียน ในพระมนต์นี้ได้เขียนถึงการใช้มนต์ใจทาง ที่ดี และใช้ไปในทางที่ร้าย คือ มนต์ดำ ผมเลยตัดสินใจอธิษฐานขอเรียนท่องเพียง ๒ ครั้ง ก็จำได้แล้วปิดตำรามอบคืนให้ท่าน อาจารย์สำรวย
เรื่องตำรายันต์ที่หลวงพ่อคัดลอกและเรียนมานี้ ปัจจุบันอยู่ที่อาจารย์เหวียน มณีนัย คนทำทอง ต.ปากน้ำ อ.เดิมบาง จ.สุพรรณบุรี ๑ เล่ม เก็บรักษาอยู่ที่วัดท่าทอง แขวนไว้ในกุฎิไม่มีใครกล้ายุ่ง อยู่ที่อาจารย์ตั๊ว ๑ เล่ม อยู่ที่อาจารย์แสวง วัดหนอง อีดุก อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ๑ เล่ม ส่วนที่วัดมีหลายเล่ม มีอยู่เล่มหนึ่งเป็นตำราภาษาไทย มองดูก็ธรรมดา หลวงพ่อห่อปกไว้ อย่าวงดี ใส่พานไว้บูชาหน้าปกเขียนว่า ทางมรรคผล ลายแทงนิพพานเขียนโดยหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ รับหนังสือไว้ พ.ศ. ๒๕๐๒ ปีนั้นหลวงพ่อสดมรณภาพแล้ว ตำรานี้ปัจจุบันยังอยู่ใจพาน หน้าโต๊ะหมู่ท่าน กรุณาอย่าไปแตะต้อง บางคนกลับไปบ้าน ไม่สบายเพ้อคลั่งปวดหัวก็มี เข้าใจว่าหลวงพ่อกวยได้ศึกษาตำราเล่มนี้ในบั้นปลายของชีวิต
เมื่อหลวงพ่อออกจากวัดหนองแขมแล้ว ได้ไปจำพรรษาที่วัดบางตาหงาย อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ได้มาเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ได้เรียนวิชาทำ แหวนแขน, ตะกรุด, มีดหมอ และอื่น ๆ และได้เรียนวิชารักษาโรคกระดูกหักจากหลวงพ่อเคน วัดดงเศรษฐี จ.อุทัยธานี เข้าใจว่า หลวงพ่อคงจะเรียนวิชากับหลวงพ่อองค์อื่น ๆ อีก เพราะในตำรารักษาไข้ ยังได้กล่าวถึงครูของท่านองค์หนึ่งคือ หลวงพ่อพวง วัดหนองกระโดน กับหลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว ก็เข้าใจว่าชอบพ่อกัน เพราะหลวงพ่อเคยทำพระพิมพ์ยอดขุนพล แล้วนำเหรียญ หลวงพ่อกันกดลงไปด้านหลัง
ศิษย์ร่วมรุ่นของหลวงพ่อที่เป็นที่รู้กันคือ หลวงปู่พิมพา วัดหนองตางู อ.บรรพตพิสัย คือครั้งหนึ่ง พระโชน วัดหัวเด่น ได้ไปกราบหลวงปู่ หลวงปู่ได้พูดว่าสรรคบุรี ไม่รู้จักท่านกวยหรือ พระโชนได้พูดว่า เป็นศิษย์ครับ หลวงปู่ หัวเราะชอบใจใหญ่เลย ได้พูดว่า "ท่านกวยเขาใจจริง" เรียนวิชามาด้วยกัน เขาใจจริง เขาไม่กลัวอะไร จากคำบอกเล่าจากพระภิกษุแบนและพระหลวงตา ตลอดจนศิษย์รุ่นเก่าได้พูดตรงกันว่า หลวงพ่อกวยตอนที่อยู่ที่วัดก็เป็นพระ ที่มีอาคมเหมือนพระทั่ว ๆ ไป แต่เมื่อท่านกลับมาจากเรียนวิชาจากเมืองเหนือ (หมายถึง นครสวรรค์) เมื่อท่านกลับมาท่านเก็บตัว พูดน้อย มีจิตมหัศจรรย์ วาจาสิทธิ์ เหนือกว่าพระทั่วไป เรื่องที่หลวงพ่อไปเรียนวิชามากับหลวงพ่อเดิมนี้ มีหลักฐานคือมีรูปถ่าย ของหลวงพ่อเดิม มีจารด้วยลายมือ พบในกุฏิของหลวงพ่อ หลักฐานอีกอย่างหนึ่งคือ ลุงลอน คนสักยันต์แทนหลวงพ่อก็มี มี ๒ รูป สมัยนั้นเดินไป หลังสงครามหลวงพ่อจะไปเรียนวิชาทำทอง เล่นแร่แปรธาตุ แต่หลวงพ่อเดิมไม่สอนให้ ในช่วงนี้ไม่ปรากฏหลักฐานว่าหลวงพ่อกลับวัดบ้านแคเมื่อไร แต่ก่อน พ.ศ. ๒๔๘๔ เมื่อหลวงพ่อกลับมาอยู่วัดบ้านแค หลวงพ่อ ได้ทำการสักให้ศิษย์ มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ขนาดสักกันทั้งกลางวันกลางคืน ทางเดินสมัยก่อนต้องเดินเท้าเอา ลำบากมาก อย่างดี ก็ขี่จักรยาน รถ ๒ แถว มีเข้าวัด ๑ คัน ออก ๑ คัน เท่านั้น มีศิษย์สักมาก ได้จดบัญชีไว้ ๔ หมื่น ๔พันคน แล้วหลวงพ่อก็ไม่ได้จด ชื่อศิษย์อีกเลย ไม่ถามแม้แต่ชื่อ ศิษย์สักของหลวงพ่อหลายคนยิงไม่ออก เป็นเรื่องแปลกมาก ที่คนธรรมดาจะยิงไม่ออก
ต่อมา หลวงพ่อเห็นว่าสมควรแก่เวลา หลวงพ่อได้หยุดสัก หลวงพ่อได้พูดกับศิษย์ว่า ถ้าท่านไม่เลิกสัก หลังคากุฏิท่านสามารถเอาแบงค์ ร้อยมามุ่งหลังคาแทนได้ (สมัยนั้นแบงค์ ๕๐๐ แบงค์๑,๐๐๐ ยังไม่มี) แล้วหลวงพ่อก็ทำแต่เรื่องรางของขลัง เช่น ตะกรุด, มีดหมอ, แหวนแขน, พระพิมพ์ ฯ ในสมัยนั้นเมื่อเสือเดินผ่านวัดหลวงพ่อ ต้องยิงปืนถวายทุกครั้ง ทั้งกลางวัน กลางคืน ในวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๑ หลวงพ่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส เข้าใจว่าหลวงพ่อคงจะกลับวัดบ้านแคมาก่อนหน้านี้หลายปี เพระจากคำบอกเล่าของคนเก่าเล่าไว้ว่า ใน สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๘๔ หลวงพ่อได้มาอยู่ที่วัดบ้านแค แล้วได้นำ ตะกรุดของครูบาอาจารย์มาแจก เป็นของหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ก็มี เป็นของหลวงพ่อเดิมก็มี เป็นงาก็มี ที่หลวงพ่อทำเองก็มี เพราะมีคนมาขอกันมาก ตลอดจนสมัยนั้นมีเสือเข้ามาปล้นบ้านกันมากมาย บ้านเมืองข้าวยากหมากแพง ผู้คนเดือดร้อน บ้างก็เจ็บ ป่วย ไม่มีหมอ ไม่มียา พระกวยก็ช่วยจนสุดกำลัง คนก็เรียกกันว่า อาจารย์กวยบ้าง หลวงพ่อกวยบ้าง หลวงพ่อคร่ำเคร่งสักให้ ศิษย์บ้าง แจกเครื่องรางบ้าง พระบ้าง, ตะกรุดบ้าง, รักษาโรคบ้าง บ้านเมืองก็เกิดข้าวยากหมากแพง หลวงพ่อจึงตัดสินใจถือ ธุดงค์วัตรข้อฉันอาการเพยงมื้อเดียวมาตลอด ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๔ เรื่อยมา
ในวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระกรรมวาจารย์ (คู่สวด)
ปฏิปทาของหลวงพ่อกวย
ต่อไปจะขอกล่าวถึงปฏิปทาของหลวงพ่อ จะบอกกล่าวเพียงสังเขป พอสรุปเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้ คือ
๑. พูดน้อย หลวงพ่อเป็นพระที่พูดน้อย กับคนทั่วไปจะพูดน้อย พูดสุภาพ ระวังตัว ถามคำหนึ่ง ตอบคำหนึ่ง แต่ถ้าเป็นศิษย์ใกล้ ชิด ท่านจะพูดมึงกู ใช้ภาษาแบบเก่า ถ้าเป็นหญิงท่านจะพูดว่าอีหนู, หนู, คุณหนู
๒. ชอบเลี้ยงสัตว์ หลวงพ่อชอบเลี้ยงสัตว์ โดยปล่อยให้อยู่อย่างอิสระ ยกเว้นลิง ที่ชอบมากคือสุนัขหรือหมา คือหลวงพ่อชอบ ธรรมชาติจึงปลูกต้นไม้ด้วย
๓. รักและเมตตาศิษย์ หลวงพ่อจะเมตตาต่อศิษย์ ไม่ว่ายากดีมีจน ไม่ว่าคนดี หรือคนบ้า ไม่ว่าคนหรือหมา ท่านเมตตา เท่า เทียมกัน ไม่เลือกแม้ดีหรือเลว ติดผง หรือเป็นผู้หญิงหากิน ท่านไม่เคยแสดงอาการรังเกียจดูเหมือนจะเมตตาคนบ้า คนจน คนมีปัญหามากกว่าคนปกติด้วยซ้ำ
๔. ชอบแจกวัตถุมงคล หลวงพ่อไม่ชอบการจำหน่ายวัตถุมงคล โดยเฉพาะวัตถุมงคลที่ท่านทำขึ้นท่านชอบให้คนมีปัญหา ทุกข์ร้อนทางใจ ใครที่จะมาเช่าบูชาเอาไปมาก ๆ ท่านจะไม่ให้ แม้คนยากคนจน แม้ชอบ หรือมีความจำเป็นท่านก็ให้ ไม่คำนึง ถึงความยากลำบากในการทำ หรือต้นทุนการทำ
๕. ชอบสร้างวัตถุมงคล หลวงพ่อไม่ชอบการจำหน่ายวัตถุมงคล โดยเฉพาะวัตถุมงคลที่ท่าน ทำขึ้นท่านชอบ ให้กับคนมี ปัญหาทุกข์ร้อนทางใจ ใครที่จะมาเช่าบูชาเอาไปมาก ๆ ท่านจะไม่ให้ แม้คนยากคนจน แม้ชอบหรือมีความจำเป็นท่านก็ให้ ไม่คำนึงถึง ความยากลำบากในหารทำ หรือต้นทุนการทำ
๖. ชอบเก็บตัวเร้นลับ หลวงพ่อไม่ชอบรับนิมนต์ ไม่ว่างานอะไรทั้งสิ้น ชอบอยู่แต่ในกุฏิ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ จะไม่รับกิจนิมนต์
๗. ชอบคนจริง หลวงพ่อชอบศิษย์ที่เป็นคนจริง ใจถึง ท่านจึงเลี้ยงหมาเอาไว้ เอาไว้ขู่ศิษย์ที่มาหา เพราะท่านจะทำพระ คือ ถ้าศิษย์จำเป็นจริง ๆ ตั้งใจมาหาท่านจริง ก็จะพยายามต่อสู้กับหมา คือป้องกันคนรบกวนท่านมากเกินไป และหมาท่านนี้ ท่านห้าม ไม่ให้ศิษย์ดูหมาให้ใครด้วย ยกเว้นท่านจะดูให้เอง แต่ถ้าเป็นผู้หญิงท่านจะดูให้อย่างดี
๘. เป็นผู้คงแก่เรียน หลวงพ่อเป็นพระที่ชอบศึกษาค้นคว้า ชอบเรียนเวทมนต์ คาถา อักขระ เลขยันต์ วิชาต่าง ๆ เครื่องราง ชนิดต่าง ๆ หลวงพ่อสามารถทำได้ทุกแบบ มีตำราเลขยันต์ยาว ๓-๔ วา ไม่รู้ว่ากี่เล่ม คัดลอกโดยลายมือท่าน ครั้งหนึ่งที่ บางตา หงาย อ.บรรพตพิสัย เขานิมนต์พระมาสวดแก้อาถรรพณ์, เสนียดจัญไร มีพระระดับหลวงพ่อมาหลายองค์ ทางเจ้าภาพเป็น คน ใหญ่ คนโต ได้นิมนต์หลวงปู่ หลวงพ่อ แต่ละองค์สวดมนต์ พอนิมนต์มาถึงหลวงพ่อกวย หลวงพ่อสามารถว่าคาถาได้ ๓-๔ ชั่วโมง โดยไม่จบ จนเจ้าภาพต้องนิมนต์ให้จบ เพราะเกรงใจท่าน เรื่องนี้หลวงพ่อเจ้ย วัดห้วย, หลวงตาสมาน วัดหัวเด่น ยืนยันได้
๙. ชอบให้ทาน หลวงพ่อชอบให้ทาน คือท่านคงชอบ เคารพ และศรัทธา ในพระ มหากัจจายณ์ พระสิวลี และ พระเวสสันดร ท่านจะอุ้มบาตรพร้อมข้าวตอก, ข้าวสาร, เกลือ, พระพิมพ์, สตางค์เหรียญฯ นำเอามาแจกเป็นทาน ในงานประจำปี หรืองานผ้าป่า เป็นประจำ ถ้าเจอคนแก่ท่านจะให้คนแก่เอื้อมไหหยิบของในบาตรท่าน ท่านจะพูดว่าอยากได้อะไรก็หยิบเอา แก่แล้วไปแย่งกับเขา เดี๋ยวเขาจะเหยียบเสียตาย เกี่ยวกับเรื่องให้ทานนี้ แม้หวยบางครั้งท่านก็บอก วิธีการบอกของท่านคือ ถ้ามีคนมาขอหวยไม่ยอมไป ท่านจะจดใส่กระดาษม้วนให้ หรือบางทีก็ไม่ม้วนและโยนให้ ให้ตรง ๆ เลย ไม่ใบ้
๑๐. ไม่หวงลาภสักการะ หลวงพ่อเป็นพระที่ไม่สนใจเงินทอง ใครถวายท่านก็รับ แล้ววางไว้ข้างตัว พอศิษย์หรือแขกกลับ ท่านก็ลุกเข้ากุฏิโดยไม่สนใจเงินทอง ต้องมีกรรมการวัดหรือพระมาคอยเก็บ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ท่านจะบอกปัด หรือท่านจะลองใจ คนมานิมนต์ก็ไม่รู้ ท่านจะพูดว่า ไปหาแพ ซิ (หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง) ไปหาจวน ซิ (หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม) หรือพูดว่าไป หาเชื้อ ซิ (หลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ) ท่านจะพูดว่านิมนต์เขาไปปลุกเสกซิ ของจะขายดีคือวัตถุมงคลก็จะจำหน่ายดี โดย
ท่านจะบอกทางให้เสร็จ โดยท่านจะถ่อมตนว่า เอาท่านไปปลุกเสก คนเขาไม่มีใครรู้จักท่าน ของก็จะขายไม่ดีคือ วัตถุมงคลก็จะ จำหน่าย ไม่ค่อยได้ เพราะไม่มีใครรู้จักท่าน
๑๑. ฉันอาหารมื้อเดียว หลวงพ่อถือธุดงค์วัตร ข้อฉันอาหารเพียงเวลาเดียว เป็นเวลาถึง ๓๐ กว่าปี จนกระทั่งมรณภาพ ก่อน มรณภาพ ๑ ปี หลวงพ่อได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท หมอได้วินิจฉัยว่าหลวงพ่อเป็นโรคขาดอาหารมา ๓๐ กว่าปี ได้ให้โปรตีนช่วย เมื่อกลับวัดแล้วทางแพทย์ขอให้ท่านฉันอาหาร ๒ เวลา ท่านก็ไม่ยอม
๑๒. ไม่ลงให้ใคร หลวงพ่อเป็นพระที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงมากไม่ประจบ หรือลงให้ใคร เข้าใจว่าท่านเคยลง ให้ครูบาอาจารย์ท่านมามากแล้ว แม้พระผู้ใหญ่เมื่อไปเจอกันในงานสำคัญ ๆ ท่านก็ไม่เข้าไปกราบ ไม่เข้าไปพูดคุยด้วย แม้ศิษย์หรือผู้เคารพ นับถือท่าน เป็นคนใหญ่คนโตระดับนานอำเภอหรือทหารระดับนายพัน นายพล ท่านก็ไม่สนใจ ไม่ต้อนรับพิเศษ ไม่ถามชื่อ ถ้าไม่ พอใจ บางทีท่านยังพูดมึง กู คือครั้งหนึ่งนายอำเภอมาหาท่าน เมื่อเจอท่าน อยู่ที่วิหารด้านล่างได้ไต่ถามท่านว่า หลวงตา กุฏิหลวง พ่อกวย อยู่ที่ไหนท่านได้ชี้ไปที่กุฏิท่านและนายอำเภอก็ขึ้นกุฏิไปหาท่าน ปรากฏว่าโดนหมากัด ท่านก็ขึ้นตามไป พอนายอำเภอ ทราบว่าท่านคือหลวงพ่อกวย ได้ต่อว่าท่านที่ท่านปล่อยให้หมากัด และได้แนะนำตัวว่าเป็นนายอำเภอ แทนที่ท่านจะพูดดีด้วย ท่านกลับพูดว่า"แล้วใครใช้ให้มึงมาหากู" งานนี้เข้าใจว่านายอำเภอ คงจะด่าท่านแหลกลาน
๑๓. มั่นใจจึงแจก หลวงพ่อได้สร้างวัตถุมงคล, พระพิมพ์ เพื่อให้ศิษย์ไว้ป้องกันตัว เพื่อบำบัดทุกข์ทางใจ เพื่อความร่ำรวย เพื่อความสุขความเจริญ ก่อนที่หลวงพ่อจะมอบวัตถุมงคลให้ใคร หลวงพ่อต้องทดลองดูก่อนว่ากันมีด กันปืนได้หรือไม่ เช่น หลวงพ่อจะจารอักขระไว้ที่ต้นไม้ ต้นที่คนชอบเอาปืนยิง แล้วหลวงพ่อจะคอยฟังดูว่า จะยิงออกหรือไม่ออก บางครั้งก็ลองเสกกิ่ง ไม้ใบไม้ ให้คนทดลองยิงดู โดยลองดูว่าคาถาบทนี้จะขลังใช้ได้จริงหรือไม่ เมื่อตอนจะสัก ก็ลองสักให้คนที่มีคนหมายปองชีวิต ว่าจะยิงออกหรือไม่ หรือเข้าหรือไม่ แม้พระสมเด็จของท่านเมื่อทำออกมาใหม่ ๆ ท่านจะลองให้คนที่มีหนี้สินจะล้มละลาย หรือ คนยาก คนจน เป็นต้น แล้วท่านก็คอยดูว่าเขาจะดีขึ้นหรือไม่ เมื่อเห็นว่าดีจึงแจกออกไป
๑๔. อุปนิสัยแปลก หลวงพ่อเป็นพระที่มีอุปนิสัยหรือปฏิปทาแปลกพระทั่ว ๆ ไป ในบางอย่าง เช่น ไม่ชอบจำหน่ายวัตถุมงคล ชอบแจกชอบให้ แต่ให้เอาไปใช้เอาไปบูชา มีบางคนได้มาหาท่านมาขอเช่าวัตถุมงคลจากท่าน บางครั้งท่านตอบไม่มีเฉย ๆ ก็เคย เข้าใจว่าไม่ชอบให้เช่า คือท่านไม่ชอบจำหน่ายของ รู้สึกท่านละอายใจแต่ถ้าขอเฉย ๆ โดยไม่นับถือจริง ๆ บางครั้งท่านก็ตอบไม่มี เฉย ๆ ก็เคย การเข้าไปขอวัตถุมงคล ถ้าขอโดยไม่เกรงใจ เช่น ท่านจะออกมาพบศิษย์ต่อเมื่อฉันข้าวเช้าและประมาณ ๑๐ โมงเช้า ถ้าศิษย์คนไหนมาหาแบบไม่เกรงใจ คือเรียกท่านแบบไม่เกรงใจ คือจะเช่าของหรือขอของวัตถุมงคลนั่นแหละ แต่ทำแบบไม่เกรงใจ คือเรียกท่าน บางครั้งท่านจะยิงเอาด้วยคันกระสุน ก็เคยมี นับว่าหลวงพ่อเป็นพระที่แปลกกว่าพระทั่วไป คือเอาคันกระสุนยิงศิษย์ ก็เคยมี ก็ขอยุติปฏิปทาของหลวงพ่อเพียงนี้ เรื่องปฏิปทาของหลวงพ่อนี้มีบางคนไม่ชอบท่าน เช่น ท่านเลี้ยงหมาเอาไว้ขู่ศิษย์ บาง ครั้งก็กัดจริง ๆ ทำให้ศิษย์บางคนไม่พอใจท่าน อีกข้อหนึ่งที่คนไม่ชอบท่านคือพบยาก เขาว่าหลวงพ่อไม่คอยต้อนรับแขก เขาเลยไปหาหลวงพ่อองค์อื่น เขาไม่เข้าใจว่าหลวงพ่อกำลังพิมพ์พระอยู่ หรือทำตะกรุดอยู่
ผู้วิเศษเมืองสรรค์
คุณวิเศษในตัวของหลวงพ่อกวยนั้น ลูกศิษย์ยกย่องว่าหลวงพ่อคือผู้วิเศษเมืองสรรคอย่างแท้จริง เมืองสรรคบุรี คืออำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท เกจิอาจารย์ของเมืองนี้ที่จำได้ รุ่นปู่มี ๑ องค์คือ หลวงพ่อเฒ่า (ปั้น) วัดค้างคาว ส่วนรุ่นพ่อมี ๓-๔ องค์ คือ หลวงพ่อคง วัดใหม่บำเพ็ญบุญ หลวงพ่อปลื้ม วัดสังฆาราม หลวงพ่อโต วัดวิหารทอง และหลวงพ่อโม วัดจันทาราม ส่วนรุ่นสุด ท้ายหรือรุ่นลูกมี ๓ องค์ คือ หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม หลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ และองค์สุดท้ายคือหลวงพ่อพิมพ์ วัดสนามชัย หลังจากหลวงพ่อพิมพ์มรณภาพไปแล้วก็ยังไม่ปรากฏว่ามีเกจิอาจารย์ท่านใดที่คนเมืองสรรค์ยอมรับอย่างเต็มปาก ในจำนวนเกจิอาจารย์ที่กล่าวมามีเพียง ๒ ท่านที่มีดวงจิตมหัศจรรย์จนศิษย์ยอมรับและตั้งฉายาให้ว่า เป็นผู้วิเศษ ไม่ว่าจะบนบาน บอกเล่าอย่างไร ใกล้ไกลแค่ไหน ถ้ารู้ถ้าช่วยได้ท่านจะช่วยทันที ท่านผู้นั้นคือหลวงพ่อเฒ่า วัดค้างคาว และหลวงพ่อกวย วัดโฆษิตราม สำหรับหลวงพ่อเฒ่านั้นรู้จักในวงแคบเฉพาะอำเภอสรรคบุรีเพราะเป็นพระรุ่นปู่และไม่ได้สร้างวัตถุมงคลอะไรไว้มากมาย โดยเฉพาะเหรียญ เพิ่งมาสร้างสมัยหลวงพ่อกวยและหลวงพ่อกวยก็ปลุกเสกให้
วัตถุมงคลที่สร้างสมัยก่อนนั้นก็มี ผ้าแดง ผ้าอาราฬวกยักษ์ (ผ้ายันต์ค่ายกล) และผ้าขอด ปัจจุบันก็ชำรุดเกือบหมดแล้ว ส่วนหลวงพ่อกวยนั้น ได้ดำเนินรอยตามอาจารย์ปู่คือหลวงพ่อ เฒ่า วัดค้างคาว แต่ชีวิตเป็นของน้อย วันเวลาของท่าน ท่านได้ทุ่มเทเวลาสร้างเครื่องรางของขลังให้ศิษย์ ท่านมีปฏิปทาสันโดษ ชอบเก็บตัวเร้นลับเพื่อที่จะได้ใช้เวลาอันน้อยนิด นี้ได้สร้างวัตถุมงคลที่เป็นของจริงให้ศิษย์ แม้หนังสือพระเครื่องจะมาขอนำพระ ประวัติของท่านไปลงตีพิมพ์ ท่านก็ปฏิเสธ ท่านเกรงว่าคนจะมารบกวนท่านมากไปจนไม่มีเวลาของวิเศษให้ศิษย์ได้คุ้มครองตน ก่อนจะกล่าวถึง อภินิหาริย์ ในดวงจิตของท่าน จนท่านได้รับฉายานี้ จะขอกล่าวคุณวิเศษในตัวท่านที่ท่านเรียนวิชามา จะขอเรียง ลำดับเป็นข้อ ๆ เท่าที่จำได้ดังนี้
๑. ท่านมีมันสมองมาก ศีรษะแบบศรีษะช้าง ตรงกลางเป็นลอน แล้วโหนกหน้าโหนกหลัง ท่านสามารถท่องจดจำคาถาโองการ ต่าง ๆ ที่ยาวได้ ขณะเป็นเด็กวัดเรียนแค่ประถม ๒ ท่านสามารถจดจำวันเวลาที่ผ่านมาได้ แม้จะนานแสนนาน คล้ายสมองของท่าน รีวายแบบเทปได ้สามารถบอกเวลาเกิด, เวลาบวช เวลาไปที่ใด สามารถบอกได้บอกออกมาเป็นวัน เดือน ปี เวลาเท่าไร กี่นาฬิกา นาที
๒. มีหูทิพย์ ตาทิพย์ รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ รู้อดีตได้ ใครจะมาเรื่องอะไรท่านรู้ล่วงหน้าได้ ท่านจะไปสวดมนต์ ไปช้าไปเร็วท่าน รู้ หวยจะออกอะไรท่านรู้ ใครมาหาท่าน ท่านรู้ แม้ท่านล้มเจ็บจะมรณภาพท่านก็รู้
๓. ยิงกระสุนทางคดได้ หายตัวได้
๔. เป่าแหวนเข้านิ้วผู้อื่นได้แม้นั่งอยู่ไกล
๕. ทำให้ถ่ายรูปไม่ติดได้
๖. ทำให้คนที่มาหาจำท่านก็ได้ จำท่านไม่ได้ก็ได้
๗. เสกสะเก็ดไม้ให้ปืนยิงไม่ออกก็ได้
๘. ขอดผ้าให้ปืนยิงไม่ออกก็ได้
๙. เรียกมดลงรูได้
๑๐. เสกข้าวให้ไก่กิน ใครกินไก่, กินไข่ไก่ เป็นขี้กลากก็ได้
๑๑. เอาเชือกผูกหินแล้วลองตีศิษย์ ศิษย์ไม่เจ็บก็ทำได้
๑๒. คนกำลังยิงปืนบอกให้ยิงไม่ออกก็ได้
๑๓. เอามือบีบหัวแม่มือตัวเองทำให้คนปวดหัวหายปวดหัวได้
๑๔. เอามีดถากไม้ ทำให้คนกระดูกหักหายได้
๑๕. ภรรยาปวดท้อง จะคลอดลูก ทำให้ไปปวดที่สามีได้
๑๖. ใครมาตามให้พ่นป่วง ให้คนที่มาตามกินน้ำมนต์ คนที่เป็นป่วงอยู่ทางบ้านหายได้
๑๗. เสกคนเป็นจระเข้ได้
๑๘. สามารถแปลงร่างเป็นเสือได้
๑๙. สามารถเสกก้านกล้วยเป็นงูเขียว
๒๐. สามารถเสกผ้ารัดเอวเป็นงูเห่าได้
๒๑. สามารถเสกใบแจงเป็นตัวต่อได้
๒๒. สามารถตัดกระดาษแดงใส่ธูปเป็นปลากัด กัดกันได้
๒๓. สามารถหยิบถ่านแดง ๆ ในเตาได้
๒๔. สามารถหยิบของในที่ไกลได้
๒๕. ท่านเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์ บางครั้งเป็นทันตาเห็นเลย
๒๖. ปลุกเสกวัตถุมงคลลอยน้ำได้ เสกให้ลอยในอากาศก็ได้
๒๗. พูดกับต่อให้ไปต่อยคนได้ พูดกับเต่าให้ไปตามคนได้
๒๘. ส่งพระให้ศิษย์ทางเมล์อากาศโดยไม่สอดซองติดแสตมป์ได้
๒๙. ศิษย์โดนทำร้ายอยู่ใกล้ไกลแค่ไหนสามารถรู้ได้
ยังมีคุณวิเศษของหลวงพ่อนี้มีหลักฐานผู้ที่ได้วิชาไปดังนี้ นายเฉือน ปั้นสน คนหนองแขม สามารถขอดชายผ้า ยิงไม่ออก, หมอ เฉลียว เดชมา ได้วิชาตีไม่เจ็บ, เสือผ่าน อ้นฉ่ำ, หมอแจ๋ ได้วิชาบังไพรหายตัวได้, หลวงตาจิ๊ด สามารถเสกหินลอยน้ำได้, นายยุทธ ยิ้มจู เรียกมดลงรูได้, นายแดง สว่างศรี ได้คาถาหัวใจแมลงป่อง สามารถจับแมลงป่องได้ไม่ต่อย, นายชัย คนทางวัดค้างคาว ได้ คาถาหัวใจนาคราช สามารถจับงูได้งูไม่กัด อาจารย์เหเหเหวียน มณีนัย คนท่าทอง สามารถผ่าไม้รวกได้ด้วยมือ, อาจารย์ตี๋ สำนักสงฆ์ เขาเขียว นั่งบนน้ำได้, อาจารย์เม่าบีบถ้วยแบบถ้วยสังคโลก ให้ปากถ้วยรวมเข้ามาหากันได้, ใช้มีดบังฟันก็ทำได้
สรุปคุณวิเศษของหลวงพ่อ
๑ เป็นผู้มีลาภ หลวงพ่อเป็นพระที่อุดมลาภ ท่านได้ปฏิบัติตนเหมือนพระเวสสันดร, ปฏิบัติตนเหมือน พระสีวลีเถระ, เหมือน พระสังกัจจายณ์ ชอบทำทานเป็นที่สุด และยังได้ติดต่อกับพระสิวลีได้ แม้ที่กระถางธูปท่าน ท่านก็ทำธงพระสิวลีบูชาอยู่ ท่านสวด คาถาบูชาทุกวัน ทำให้ท่านเป็นพระที่อุดมลาภ มีคนมาขอหวยท่าน ถ้าท่านเห็นว่าพอมีโชคลาภท่านจะเขียนให้ตรง ๆ เลย กับคน ใกล้ชิดกับท่านถ้าไปไหนด้วยกันถามท่านว่าเลขไหนดี ท่านจะบอกออกไปเลย แม้ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านยังเขียนเลขไว้ในฝ่า มือ ถ้าใครมีโชคมีลาภมาเยี่ยมท่าน ท่านจะแบมือให้ดู แม้มรณภาพไปแล้ว ใครบูชารูปท่านอยู่ ขอโชค ขอลาภ จากท่าน ท่านให้ได้ จะให้เลย มีคนถูกหวยเพราะบูชารูปท่าน มีเป็นร้อยคน บางคนได้ส่งเงินมาทำบุญมูลนิธิ ตก ๑ หมื่นบาท เพราะถูกหวยจากการขอ พรท่าน มีคนถูกหวยกันมาก ชนิดไม่เคยมีปรากฏมาก่อน ผมเคยไปวัด มีคนมาแก้บนชื่อเรณู บ้านอยู่ทางวัดค้างคาว ถูกหวยติดต่อ กัน ๑๘ งวด เกี่ยวกับหารที่ท่านเป็นผู้อุดมลาภนี้ เมื่อมีคนบูชารูปท่านจะปรากฏว่ามีความสุข ความเจริญ ซื้อง่าย ขายคล่อง สมกับ คำพรของท่านที่เคยให้แก่ศิษย์ไว้คือ "ขอให้อย่าอด อย่าอยาก อย่ายาก อย่าจน อย่าต่ำกว่าคน อย่าจนกว่าเขา"
๒. เป็นผู้คงแก่เรียน หลวงพ่อเป็นพระที่ชอบศึกษาค้นคว้า เรียนมามากไม่ว่าตำรายา, ตำรายันต์, คาถาอาคม เรียนมาแทบทุก แทบทุกยันต์ ปัจจุบันตำรายาของท่านที่ท่านเรียนเอาไว้ จดใส่สมุดเล่มหนา ๆ เอาไว้ตก เกือบ ๑ ร้อยเล่ม ตำรายันต์ต่าง ๆ มีเก็บไว้ เป็นตู้ จดเองกับมือ คาถายาว ๆ ท่องได้หมด เครื่องรางทำได้เกือบทุกชนิด ทำได้ขลังด้วย ไม่ว่าผลัดแหวนแขน, ตะกรุด, เชือก คาดเอว, ผ้ายันต์, กุมารทอง, รัก-ยมฯ วัตถุมงคลรุ่นแรก ๆ ท่านทำเองกับมือด้วย เช่นพระหินแกะ, กระเบื้องแกะ, กุมารทอง กระ ดูกผีแกะ ท่านยังเคยทำ ตัว พ.พาน ที่ทำจากก้านธูปพันด้วยสายสิญจน์ มอบให้ศิษย์ใกล้ชิด คือหมอเฉลียว เดชมา, กับนายที ทำให้ ไว้คนละตัว
เมื่อหมอเฉลียวถามท่านว่าหลวงพ่อทำเป็น น่าจะทำออกแจกมาก ๆ หลวงพ่อตอบว่า "เอาไว้ให้หลวงตาเย็น เอาไว้ สร้างโบสถ์มั่ง ไปทำซะหมดทุกอย่างได้อย่างไร" หลวงพ่อยังสามารถทำเครื่องรางของขลังได้อัศจรรย์ คือสามารถเตือนภัยได้ สิ่งนั้นคือ แหวนแขน สามารถเตือนภัยรัดแขนได้ ไม่ปรากฏมีมาก่อน สรุปได้คือ หลวงพ่อเป็นพระที่ชอบศึกษาทางอาคมมาก ไม่ว่า วิชาตำรายา, ตำรายันต์, อาคม ที่ปรากฏชื่อของครูบาอาจารย์เข้าของยันต์ เจ้าของอาคม ที่มีอยู่เป็นหลักฐานยืนยันได้และเป็นที่รู้ จัก คือ หลวงพ่อโต วัดวิหารทอง, หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ, หลวงพ่อแบน วัดเดิมบาง, หลวงอิ่ม วัดหัวเขา, หลวงพ่อพวง วัดหนองกระโดน, หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ฯ เฉพาะที่เป็นยันต์ต่าง ๆ กันภัย กันปืน, ค้าขาย, เมตตา, กันกระทำ, หายตัว, กัน ยมฑูต, กันเพลี้ย, กันหนอน, ยันต์ ปลุกให้ตื่น ฯ เฉพาะที่เป็นยันต์ต่าง ๆ ที่หลวงพ่อเรียนมา มีหลายร้อยยันต์ท่านได้เขียนผ้ายันยันต์ เอาไว้ยันต์ละ ๑-๒ ผืน ได้ผ้ายันต์ถึงหลายร้อยผืน แม้แต่อาคมแปลก ๆ ท่านก็เรียนเอาไว้ ที่เด่นที่สุด คือ คนปวดหัว ปวดท้องถ้า ไปบอกท่าน ท่านจะเอามือบีบนิ้วโป้งท่าน ปรากฏว่าคนปวดหัวปวดท้องหาย คนจะออกลูก จะให้สามีปวดแทน ท่านก็ทำได้ นับว่า หาได้ยาก แม้วิชาชั้นสูงสุด เช่น ผูกหุ่นพยนต์เป็นสัตว์ต่าง ๆ เสกก้านกล้วยเป็นงูเขียว, วิชาเสือสมิง, วิชาแปลงร่างเป็น จระเข้หลวงพ่อก็ทำได้
๓. เป็นผู้มีดวงจิตมหัศจรรย์ หลวงพ่อเป็นพระที่มีเมตตาต่อศิษย์ต่อคนทั่วไป เมื่อหลวงพ่อฝึกจิต จนได้หูทิพย์, ตาทิพย์ เมื่อ ทราบว่าศิษย์หรือผู้เคารพนับถือ ตกทุกข์ได้ยาก เดือดร้อน ขอโชคขอลาภ เมื่อท่านทราบถ้าช่วยได้จะช่วยทันที ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่อง ใหญ่ เรื่องไกลเรื่องใกล้ หรือเรื่องไม่เป็นเรื่อง ถ้าช่วยได้จะช่วยเลยไม่ลังเล ถ้าเป็นเรื่องดี เรื่องค้าเรื่องขายยิ่งชอบช่วย จิตของท่าน กว้างไกลมาก แม้อยู่ต่างประเทศก็ช่วยได้เคยมีศิษย์ของท่านไปรบที่ลาว ถูกล้อมอยู่ ท่านเคยถอดจิต เดินนำหน้าศิษย์ฝ่าวงล้อมออก ไปได้ เพียงแค่ร้องขอให้ท่านช่วย บางคนตัดรูปท่านในหนังสือเอาไปบูชา รูปไม่ได้ปลุกเสก ขอพรต่อท่าน ซื้อหวยถูกได้ บางคน ได้ขอพรต่อรูปท่านในหนังสือยังถูกหวยได้ บางคนก็ไปสมัครงาน เขารับวุฒิ ปวส. แต่ศิษย์ท่านจบวุฒิ ปวช. คือวุฒิต่ำกว่า ได้บอก เล่าท่านปรากฏว่าเขารับ ซึ่งแปลกมากทั้ง ๆที่วุฒิ ปวส. ก็มีตัวให้เลือก เรื่องจิตของท่านที่เมตตาศิษย์และคนทั่วไปนี้ เมื่อท่าน สร้างวัตถุมงคล ท่านจึงไม่มีข้อห้าม ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะดีหรือบ้า จะประกอบอาชีพอะไร ก็บูชาของท่านได้ ไม่ว่าจะเป็นนัก ร้อง, ดารา, ผู้หญิงบาร์, หมอนวด หรือโสเภณี ใช้ได้หมด ผู้ชายจะเป็นเสือเป็นโจร หรือเป็นพวกรถไฟ, เรือเมล์, ลิเก, ตำรวจ, ก็ใช้ ได้ เพราะจะทำให้ผู้นั้นได้ประพฤติปฏิบัติเป็นคนดีขึ้นในเวลาต่อมา สรุปคือ หลวงพ่อเป็นผู้มีลาภ, มีวิชาดี, มีเครื่องรางดี, มีจิตดี
การสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวย
หลวงพ่อเป็นพระที่ชอบทำวัตถุมงคลเอง เช่นพระเนื้อดิน พระเนื้อผง ท่านมีความตั้งใจสูงมาก แม่พิมพ์พระสมเด็จ เป็นแม่พิมพ์ที่ใช้มือบีบเอง ทำทีละองค์ ส่วนแม่พิมพ์พระเนื้อดิน โดยมากใช้วิธีถอดพิมพ์จากของเก่า เคยมีศิษย์ของท่านได้พระกรุมา นำมาถวายท่าน เช่นพระพิมพ์สรรค์ ท่านก็นำมาถอดพิมพ์
ตะกรุด ท่านจะจารเอง ม้วนเอง ทำสายเอง บางดอกท่านจะถักหุ้มเอง ส่วนมีด ยุคแรกท่านตีเอง กับพ่อแก่อุ้ย และลูกเขยคือลุงคลี่ ยิ้มจันทร์ คนบ้านคู ยุคต่อมาเป็นช่างพยุหะ มีดนี้ท่านใส่ด้ามเองทุกเล่ม แหวนแขน ท่านทำเอง ลงรักเอง ปลัด ยุคแรกเป็นไม้ ท่านเหลาเอง จารเอง ยุคต่อมาเป็นตะกั่วผสมเงิน ท่านสั่งทำบ้าง หล่อเองบ้าง จารบ้าง ไม่จารบ้าง
วัตถุมงคล เช่นเหรียญรุ่น 1,2 ท่านดำเนินการเองทุกอย่าง ยกเว้นเหรียญรุ่น 3 ท่านให้ศิษย์เป็นผู้ออกแบบ ส่วนรูปหล่อรุ่นสอง ชนิดเล็ก ศิษย์ก็เป็นผู้ดำเนินการ
ส่วนผสมของพระเนื้อดินทุกชนิด ท่านจะผสมแร่วิเศษต่างๆและผงวิเศษต่างๆของท่าน แต่พระเนื้อผงบางรุ่นก็ผสมแร่วิเศษและผงวิเศษ เช่นกัน บางพิมพ์มีเส้นเกศาของท่าน และครูบาอาจารย์ของท่าน
พระพิมพ์ปรกโพธิ์ 9 ใบ มีเส้นพระเกศาของผู้มีบุญสูงมากผสมอยู่ แร่วิเศษนั้นท่านเอามาจาก ดอนเจดีย์ ที่เขาสารพัดดี อำเภอหันคา ดินกลางใจเมืองสุโขทัย แร่ที่เหมืองแม่เมาะ ลำปาง ปัจจุบันแร่นี้ยังมีอยู่ที่ตู้ พิพิธภัณฑ์ ส่วนผงวิเศษนั้นท่านทำเอง โดยใช้ดินสอพองผสมกับเครื่องยาที่ท่านปลูกเอง ปลุกเสกเอง รดน้ำด้วยอาคม บางอย่างก็หาเอามา เครื่องยาที่ท่านใช้ทำดินสอนั้น มีดอกเสน่ห์จันทร์ทั้ง 5 ฝัก ราชพฤกษ์ เมล็ดมะกล่ำขาว ดีทั้ง 5 ดีนี้เป็นดีของสัตว์ท่านจะปลุกเสกเอาไว้ ถ้าบ้านไหนเกิดอาเพศหนักๆ ท่านจะให้เอาไปแขวนไว้หน้าบ้าน จะแก้ได้
การปลุกเสก พระผง ท่านจะปลุกเสกด้วยคาถาหลักคือ ปริตมนต์ มนต์นี้เป็นของพระพุทธเจ้าโดยตรง แก้โรคระบาดได้ แคล้วคลาดปลอดภัย กันผีปีศาจได้ แก้อาเพศอาถรรพณ์ได้ นอกนั้นก็ปลุกด้วย มนต์จินดามณี และอื่นๆ เช่น มนต์แม่ธรณี มีพระอยู่พิมพ์หนึ่ง คือสมเด็จหลังรูปเหมือนท่านทั้ง 2 รุ่น ท่านผสมด้วยผงผีเอาไว้ พระทั้ง 2 รุ่นนี้ กำบังดี แต่บางครั้งอาจกวนเด็กได้
พระเนื้อดิน ท่านจะผสมทรายเสกทุกรุ่น ทรายเสกนี้ท่านปลุกเสกเอาไว้กันผี กันวิญญาณได้ แคล้วคลาด พลางตาได้
มีดหมอ ท่านบรรจุของในด้ามมีดด้วยผ้าแดงของ อาราฬวกยักษ์ แร่อุกกาบาต แผ่นยันต์ เกศา ก้นบุหรี่ ผงวิเศษ ส่วนการปลุกเสกนั้น ท่านเสกด้วย อาวุธ 5 อย่าง มงกุฎพระพุทธเจ้า
แหวนแขน ท่านลงด้วย อิติปิโส 8 ทิศ ลงคาถา ฆะเตสิ ปลุกเสกจนสามารถรัดเตือนภัยได้
ตะกรุด ท่านลงไว้หลายยันต์ ผ้าประเจียดก็เช่นกัน ท่านเคยพูดว่า ท่านปลุกเสกด้วย โองการ มหาทะหมึน
เหรียญและรูปหล่อ ท่านปลุกเสกด้วย มงกุฎพระพุทธเจ้า นะโมตาบอด และอื่นๆ
พระเครื่องก็ดี วัตถุมงคลต่างๆของท่านก็ดี ท่านจะปลุกเสกของท่านเองทั้งหมด มีมนต์อยู่บทหนึ่งที่ท่านต้องปลุกเสกด้วยทุกครั้ง คือ มนต์พระกาฬ มนต์นี้ ใครทำไม่ดี คิดไม่ดี ต่อผู้ที่มีวัตถุมงคลของหลวงพ่อ จะแพ้ภัยตัวเอง ท่านจะสั่งศิษย์ของท่านไว้เสมอว่า อย่าเอาวัตถุมงคลต่างๆของท่านไปลองเดี๋ยวจะเข้าตัว เพราะท่านได้ปลุกเสกมนต์พระกาฬเอาไว้ ท่านจะสั่งไว้อย่างหนัก
การปลุกเสกของหลวงพ่อ
ท่านจะปลุกเสกตามฤกษ์มงคลก่อน แล้วจึงปลุกเสกด้วยฤกษ์โจร ฤกษ์บุญพญามาร คือพระของท่าน คนดีก็ใช้ โจรก็ใช้ ท่านมีวิธีปลุกเสกที่ลึกซึ้งมาก ท่านจะปลุกเสกตอน เช้า สาย บ่าย เย็น หัวค่ำ เที่ยงคืน ก่อนสว่าง ท่านจะปลุกเสกทุกวันเพื่อป้องกันคนชะตาขาดใช้ คือวันจันทร์ ถึงอาทิตย์ วันไหนอ่อนยิ่งต้องปลุกเสกให้มาก
คำพูดของท่านเกี่ยวกับวัตถุมงคล ท่านเคยพูดถึง สมเด็จหลังรูปว่า หลังรูปเก่งดี ปรกโพธิ์ 9 ใบ ร่มเย็น อยู่ที่ไหน ไม่มีใครรังเกียจ พูดถึงมีดหมดว่า ถ้าบาดมือ ให้เอาด้ามมีดหมอฝนทำน้ำมนต์ทาจะหาย
ส่วนข้อห้ามในการบูชาวัตถุมงคลของท่านนั้นมีเพียงอย่างเดียว คือ ห้ามด่าแม่ ห้ามเด็ดขาด
วัตถุเครื่องรางของขลัง หลวงพ่อกวย ชุตินธโร
1. ประเภทเหรียญ ท่านสร้างในนามวัดมี 3 รุ่น
เหรียญรุ่น 1 สร้างปี พ.ศ.2506 ประมาณ 5,000 เหรียญ เป็นเนื้อฝาบาตร มีเนื้ออัลปาก้า 9 เหรียญ ด้านหลังเป็นยันต์มงกุฏพระพุทธเจ้า ด้านหน้านั่งเต็มองค์
เหรียญรุ่น 2 ขนาดใหญ่เท่าเหรียญบาทรุ่นเก่า เนื้อทองแดง สร้าง พ.ศ.2515 เสาร์ 5
เหรียญรุ่น 3 ออก พ.ศ.2521 ก่อนหลวงพ่อมรณภาพ 1 ปี แบ่งออกเป็น 3 เนื้อ คือ เนื้ออัลปาก้า ด้านหลังเป็นรูปหนุมานยกธงรบ , เหรียญทองแดงรมดำ ด้านหลังเป็นยันต์ตารางสี่เหลี่ยม, เหรียญพุ่มข้าวบิณฑ์ ด้านหลังเป็นยันต์สี่เหลี่ยม
2. ประเภทเหรียญรูปท่าน สร้างให้วัดอื่นมี 2 วัด
เหรียญวัดเขาใหญ่ เป็นเนื้อทองแดงรมดำ
เหรียญวัดเดิมบาง เนื้อทองแดงรมดำ สร้าง พ.ศ. 2515
3. ประเภทเครื่องราง
แหวนแขน สามารถเตือนภัยได้
ผ้าขอด ทำด้วยผ้าแดง, ผ้าขาว, ผ้าจีวร มีชนิด 1 ขอด, 5 ขอด, 7 ขอด
หนังเก้ง, หนังเสือลงยันต์
ตัว พ.พาน ตำราเดียวกันกับ หลวงปู่เย็น
ดีสัตว์ กันอาเพศอาถรรพณ์
ปลัด มีทั้งไม้, และตะกั่วนมผสมเงิน
มีดหมอ มีหลายขนาด
ตะกรุด ท่านจะจารเอง ถักเอง มีทั้งดอกเดียว 2 ดอก, 3 ดอก, 5 ดอก, 6 ดอก, 7 ดอก มีเยอะมาก
หนุมานลอยองค์ เป็นเนื้อทองเหลือง ใต้ฐานท่านจารไว้ทุกตัว
สิงห์ เนื้อตะกั่ว, ทำด้วยงาช้างแกะก็มี
รัก-ยม ยุคแรกๆ หลวงพ่อแกะเอง และมีชนิดสั่งทำก็มี
กุมารทอง ยุคเก่าแกะจากกระดูกผีก็มี เป็นตะกั่วหล่อก็มี
นามบัตรหลวงพ่อ มี 3 แบบ คือ รุ่น 1 เขียนว่า พระอาจารย์กวย, รุ่น 2 เขียนว่า พระอธิการกวย, รุ่น 3 เขียนว่า พระครูกวย
ผ้ายันต์หรือผ้าประเจียด ยุคแรกท่านเขียนเองด้วยหมึกจีน
ยุค 2 เขียนด้วยปากกา
ยุค 3 เขียนด้วยสีเมจิก ผ้ายันต์นั้นท่านเขียนไว้มากมาย หลายแบบ ท่านทำผ้ายันต์แปลกๆได้เยอะมาก ทุกคนที่มีต่างหวงแหนกันมาก ที่ทำเป็นเสื้อยันต์ก็มี
ลูกปืนลงอาคม มีหลายขนาดมากมาย
สีผึ้งยุคแรกๆ ท่านจะเคี่ยวเอง บั้นปลายสั่งทำ
ผ้าจีวร, ผ้าสังฆาฏิ, ผ้ารัดอก ส่วนมากจะอยู่กับศิษย์ใกล้ชิด ท่านจะเสกเอาไว้
ปฐวีธาตุ คือ กรวดหิน ก้อนกรวด ท่านเสกไว้
ลูกไม้มงคล ท่านก็เสกไว้
เหรียญมีจาร ส่วนมากจะเป็นเหรียญ ร.5
แร่อุกกาบาต พบในบาตรของท่านหลายก้อน
แร่เพชรหน้าทั่ง พบในบาตรท่าน 4-5 ก้อน
ลูกกระสุนคด ท่านปั้นเอง เสกเอง
หวายมีจาร ท่านจารไว้สวยมาก
ฟันหลวงพ่อ เป็นของมหัศจรรย์ได้เฉพาะตัว
คดต่างๆ มีมากแล้วแต่หาได้
ตะกรุดลงถม
ปลัดไม้ตีพริกแม่หม้าย เฮี้ยนมาก บนบอกได้
ผ้ายันต์ธงพระสิวลี ยุคแรกๆท่านเขียนเอง ในตอนหลังสั่งทำ
ผ้ายันต์ปลุกให้ตื่น เป็นตำราเฉพาะของท่าน
4. ประเภทเนื้อผง
พระแหวกม่านพิมพ์อกใหญ่มารวิชัย พระพิมพ์นี้มีหลายพิมพ์
พระสมเด็จปรกโพธิ์ 9 ใบ มีแบบหลังยันต์, หลังพระแม่ธรณี
สมเด็จหลังรูป มี 2 รุ่น คือ รุ่น 1,2
สมเด็จพิมพ์ทรงเจดีย์หลังยันต์
สมเด็จแหวกม่าน พิมพ์เม็ดไข่ปลา
สมเด็จ มีสมเด็จพิมพ์ ไกเซอร์ หลังยันต์, สมเด็จพิมพ์อกร่องหลังยันต์, สมเด็จพิมพ์เกศทะลุซุ้ม, สมเด็จหลังเรียบผสมเกศา
พระนางพญาพิมพ์ซุ้มคู่
พระสมเด็จจินดามณี
สมเด็จพิมพ์ปรกโพธิ์พิมพ์ต่างๆ
ขุนแผนขี่โหงพราย
พระลีลาถ้ำหีบ
พระสิวลี มีหลายพิมพ์
พระรอด
พระพิมพ์ขุนแผนทรงพล
พระพิมพ์ขุนแผนปลุกกุมาร
พระพิมพ์ขุนแผนขี่ไก่
พระพิมพ์ยอดขุนพล
พระลำพูนดำ
พระพิมพ์ซุ้มระฆัง
สมเด็จหลังสิงห์
สมเด็จพิมพ์อู่ทอง
สมเด็จฐานสำเภา, สมเด็จพิมพ์พระพุทธเจ้าในวิหาร, นางกวัก, แหวกม่านพิมพ์ใหญ่, สมเด็จหลังเรียบ ฯลฯ
5. ประเภทเนื้อดิน มี พิมพ์พระสิวลี,พิมพ์ขุนแผน,พระพิมพ์สรรค์,พระร่วงนั่งหน้าโหนก,พระเม็ดมะลื่น,พระซุ้มกอ,พระนางพญา,พระแหวกม่านเนื้อดิน,พระพิมพ์ยอดขุนพล,พระรอด,พระพุทธเจ้าในวิหาร, พระกันผี,พระร่วง,พระหลวงพ่อโต,พระโคนสมอ,พระพุทธโคดม ฯลฯ
6. ประเภทรูปหล่อคล้องคอ มี
รูปหล่อรุ่นแรก ใช้ปั๊ม ออกประมาณปี 2512
รูปหล่อรุ่น 2 ออก พ.ศ. 2522 ใช้ฉีด
7. ประเภทพระบูชา มี
รูปหล่อรุ่น 1 ขนาด 5 นิ้ว สร้าง พ.ศ. 2518 บอก พ.ศ.
สร้างรูปหล่อบูชารุ่น 2 พิมพ์เดียวกับรุ่น 1 แต่ไม่บอก พ.ศ. มีขนาด 5 นิ้ว
8. ประเภทรูปถ่าย คล้องคอ มี
รูปถ่ายก่อนรุ่นแรก เป็นรูปสมัยหนุ่มๆ เป็นรูปอัดกระจก
รูปถ่ายรุ่นแรกหลังสิงห์ ออกประมาณ พ.ศ. 2500
รูปถ่ายหลังตะกรุด 3 ดอก,รูปถ่ายพรรษาสุดท้าย มียันต์ 2 ด้าน
9. ประเภทรูปถ่ายชนิดบูชา
รูปคุณสุนทร สุขชื่น พิมพ์ถวาย ลงมนต์จินดามณี,รูปถ่ายใบปลิว, รูปถ่ายกันภัย 8 ทิศ, รูปพรรษาสุดท้าย เป็นรูปขนาดโปสการ์ด
10. พระบูชา มี พระสังกัจจายณ์ มีทั้งเล็ก และขนาดหน้าตัก 3 นิ้ว, 5 นิ้ว, 7 นิ้ว พระสิวลี ขนาดบูชา ฯลฯ |
|