รายละเอียด |
ตะกรุดเศรษฐีเรือนทอง"พ่อท่านห้อง ธัมมวโร วัดเขาอ้อ จ.พัทลุง เชิญเคาะครับ
"สำนักเขาอ้อ" ปรากฏชื่อเสียงมานานนับพันปีตั้งแต่สมัยโบราณ ครั้นมาถึงสมัยศรีวิชัยเจ้าเมืองแต่ละเมืองนิยมส่งบุตรหลานไปศึกษาเล่าเรียนเป็นศิษย์ของสำนักนี้ จนกล่าวได้ว่าสำนักเขาอ้อเป็นตักสิลาของไสยเวทย์ที่มีประวัติสืบทอดมายาวนานที่สุดศิษย์ของสำนักเขาอ้อแต่ละท่านจัดได้ว่าเชี่ยวชาญแตกฉานในวิชาศาสตร์แขนงต่างๆ อย่างลึกซึ้งบวกผสมผสานกับหลักธรรมด้านสมถะและวิปัสนากัมมัฎฐาน หลักคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาเข้าด้วยกัน ถึงกาลเวลาจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยก็ตาม เหตุที่ทำให้"สำนักเขาอ้อ" ตั้งอยู่ได้ยาวนานและมั่นคงอันเนื่องมาจากกฏระเบียบของ "สำนักเขาอ้อ" ที่มีความเข้มงวดในการคัดเลือกศิษย์และศิษย์ที่ถูกคัดเลือกเข้าไปก็ปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดตามกฏของสำนัก เป็นที่ทราบกันดีว่าวิชาทางไสยเวทย์ ไม่ได้เป็นวิชาทางพระพุทธศาสนาจะมุ่งเน้นไปทางหลุดพ้นจากวัฎสังสาร ส่วนวิชาไสยเวทย์เป็นวิชาทางศาสนาพราหมณ์ เรียกว่า คัมภีร์ไสยเวทย์ประกอบด้วยวิชาไสยเวทย์แขนงต่างๆ เช่นการผูกหุ่งพยนต์, การเล่นแร่แปรธาตุ, การทำให้เกิดภาพลวงตาในอาการต่างๆ และการอ่านโองการณ์ต่างๆ คัมภีร์ไสยเวทย์เป็นคัมภีร์ที่สอนเกี่ยวกับเรื่องของเวทย์มนต์, คาถาอาคมและอาถรรพ์ต่างๆ ซึ่งศาสนาพราหมณ์เป็นต้นกำเนิดก่อนพุทธศาสนา วิชาทางไสยเวทย์ต่างๆ จึงถือกำเนิดมาจากศาสนาพราหมณ์แทบทั้งสิ้น
มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ได้กล่าวถึงความสำคัญของสำนักเขาอ้อ เกี่ยวกับวิชาไสยศาสตร์อยู่ตอนหนึ่งความว่าเมื่อปีพ.ศ.2328 ครั้งที่พม่ายกทัพมาตีเมืองชุมพร, เมืองไชยา, เมืองนครศรีธรรมราช ได้เป็นผลสำเร็จแล้วยกทัพตีมาเรื่อย พระยาพัทลุง (ขุน) กับพระมหาช่วย วัดป่าเลไลย์ ชาวบ้านน้ำเลือด ซึ่งเป็นศิษย์อาจารย์วัดเขาอ้อ มีความรู้เชี่ยวชาญในทางไสยเวทย์ได้ลงตะกรุด, ผ้าประเจียดให้แก่ไพร่พล แล้วแต่งเป็นกองทัพยกไปคอยรับทัพพม่า อยู่ที่ตำบลท่าเสียด ครั้นทัพพม่ายกกำลังมาถึงเห็นกองทัพไทยจากพัทลุงมีกำลังมากกว่าตน แต่ที่แท้จริงมีกำลังน้อยกว่ากองทัพพม่าหลายเท่า แต่ด้วยอำนาจเวทย์มนต์พระคาถาที่พระมหาช่วยนั่งบริกรรมภาวนา อยู่เบื้องหลังทำการผูกหุ่นพยนต์ขึ้น เป็นทหารสูงใหญ่ให้ข้าศึกมองเห็นเป็นคนจำนวนมากและมีกำลังร่างกายสูงใหญ่ ดุดันผิดปรกติ กองทัพพม่าจึงยกทัพกลับไป พระมหาช่วยมีความชอบ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ลาสิกขา แล้วทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น "พระยาทุกขราษฎร์" เป็นผู้ช่วยราชการเมืองพัทลุง ชาวเมืองพัทลุงได้ยกย่องพระมหาช่วยว่าเป็นวีรบุรุษ จึงได้ร่วมใจกันสร้างอนุสาวรีย์ประดิษฐานไว้ที่สามแยก ท่ามิหรำ อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง
พ่อท่านห้อง ธัมมวโรสมถะ วิเวก เรียบง่าย น่านับถือ มองดวงตาของท่านแจ่มใสเป็นประกาย แสดงให้เห็นถึงญาณสมาบัติอันกล้าแกร่ง มีเพียงคนในจังหวัดตรังและใกล้เคียงไม่มากนักที่รู้ว่าท่านมีอภินิหาร และแก่กล้าพุทธาคมอย่างยิ่งยวด พ่อท่านสำเร็จวิชาการประกอบพิธีกรรม "หุงวิชชา" เป็นสุดยอดวิชาที่พระคณาจารย์สายนี้ประกอบพิธีกรรม โดยอาราธนาพระคุณเจ้าผู้เรืองเวทย์ ในสายเขาอ้อด้วยกันทั้งหมดซึ่งศึกษาพระเวทย์มาในแบบอย่างเดียวกันนั่งบริกรรมเรียงล้อมวัตถุมงคลโดยรอบหรือนั่งปลุกเสกบริกรรมทั้ง 8 ทิศ เดินกระแสจิตอณุโลม ปฏิโลม เพื่อให้วัตถุบริสุทธิ์ต่อด้วยการ 32 เพื่อทำให้วัตถุมงคลประดุจดังมีชีวิตจริงรับรู้และรู้เห็นภัยอันตรายที่คืบคลานเข้ามาใกล้เคหะสถานหรือตัวบุคคลที่มีวัตถุมงคลติดตัวและอธิฐานจิตได้ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้ครอบครองวัตถุมงคล คือ การรับรู้และเดินธาตุ 4 เตโช ปฐวี วาโย อาโป คือ ธาตุ ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ วัตถุต่างๆ บนโลกนี้ เป็นธาตุ 4 ทั้งหมด แยกเป็นดิน, น้ำ, ลม, ไฟ ขณะที่พระคณาจารย์เดินธาตุอยู่เพื่อที่จะให้วัตถุมงคลในองค์เดียวกันมีทั้ง 4 ธาตุ สายเขาอ้อมีเคล็ดลับให้เดินธาตุ เตโชก่อนและตามด้วยปฐวี วาโย และอาโป คือให้ปลุกเสกด้านมหาอุตม์ก่อน ตามด้วยคงกระพัน 1, ชาตรี 1, แคล้วคลาด 1, กำบังหรือบังไพร 1, กันเขี้ยวงา 1 ปิดด้วยเมตตามหานิยม 1 ซึ่งจะทำให้วัตถุมงคลนั้นๆ ทรงอานุภาพทุกๆ ด้านตามที่พระคณาจารย์เหล่านั้นเดินกระแสจิต ต่อจากการเดินธาตุพระคณาจารย์เหล่านั้นเข้ากสิณวัตถุมงคลที่ท่านได้ปลุกเสกไว้ โดยมีลูกศิษย์ได้ช่วยสร้างถวายให้ท่านปลุกเสก แล้วให้ทำบุญเอาไปสร้างถาวรวัตถุใน วัดเขาอ้อ ผู้ที่ได้ไปต่างมีประสบการณ์อันน่าอัศจรรย์จำนวนมาก |