(0)(0)
เหรียญหล่อพิมพ์ห้าเหลี่ยม พระสังวรานุวงษ์ (ชุ่ม ติสฺสโร) วัดราชสิทธาราม






รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต





ชื่อพระเครื่อง เหรียญหล่อพิมพ์ห้าเหลี่ยม พระสังวรานุวงษ์ (ชุ่ม ติสฺสโร) วัดราชสิทธาราม
รายละเอียด เหรียญหล่อพิมพ์ห้าเหลี่ยม
พระสังวรานุวงษ์ (ชุ่ม ติสฺสโร)
วัดราชสิทธาราม บางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
………
ครั้งหนึ่งพระสังรานุวงษ์เถร (ชุ่ม) ธุดงค์ไปถึงวัดป่าเลไลย์ จังหวัดสุพรรณบุรี แต่เวลานั้นเป็นยามเย็นแล้ว มีความปรารถนาจะเข้าไปกราบนมัสการหลวงพ่อโตในวิหาร แต่เข้าไม่ได้เพราะเด้กวัดปิดประตูเสียแล้ว ท่านจึงลองผลักประตูปรากฏว่าลงดาลข้างใน ท่านจึงกลับมานั่งพักเหนื่อยอยู่ข้างนอก สักพักหนึ่งไปยินเสียประตูใหญ่เปิดดังเอี๊ยด แล้วบานประตูก็เผยออก ท่านจึงเข้าไปนมัสการ คิดว่าคงจะมีคนมาเปิดให้ เมื่อนมัสการเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินหาคนที่มาเปิดบานประตู เดินอยู่นานไม่พบจึงกลับมานั่งพักตรงที่เดิม ชั่วครู่ได้ยินเสียงประตูลั่นเอี๊ยดอีก บานประตูใหญ่ปิดสนิทแล้ว ท่านจึงเดินเข้าไปดูไม่เห็นในบริเวณนั่นเลย...”
………

มีความสงสัยอยู่ถึงนามฉายาของพระสังวรานุวงษ์เถร (ชุ่ม) เพราะเมื่อเปิดหนังสือ ‘สารานุกรมเหรียญยอดนิยม ๗๖ จังหวัด หมวดอักษร ก. เล่ม ๑ กรุงเทพมหานคร ของ ‘เพชร ท่าพระจันทร์’ พบว่าระบุฉายาของพระสังวรานุวงษ์เถร (ชุ่ม) ว่า ‘พุทฺธสโร’
หากแต่เมื่อพลิกหนังสืิอ ‘ตามรอยตำนานเครื่องรางของขลังขมังเวทย์’ ของ ‘พยับ คำพันธุ์’ ระบุฉายานามของพระสังวรานุวงษ์เถร (ชุ่ม) ว่า ‘ติสฺสโร’
แล้วน้องบ่าว ‘Krit Jakkrit’ ก็ส่งภาพมาให้โดยพลัน บนภาพปรากฏตัวหนังสือว่า ‘พระสังวรานุเถร (ชุ่ม ติสฺสโร) พ.ศ. ๒๓๙๖-๒๔๗๐ วัดราชสิทธาราม จ.ธนบุรี’
ภาพใบนี้ใช้ฉายานามว่า ‘ติสฺสโร’ แม้ว่าจะยังค้นหาหลักฐานทางราชการถึงฉายานามที่แน่ชัดไม่ได้ เพราะใน ‘ราชกิจจานุเบกษา’ เล่ม ๓๑ น่า ๑๘๔๔ วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๕๗ ระบุไว้เพียงว่า
“ให้พระครูสังวรสมาธิวัตร วัดราชสิทธาราม เปนพระราชาคณะมีนามว่า พระสังวรานุวงษเถร”
และเมื่อสืบค้นจากหลายแหล่งล้วนระบุนามฉายาว่า ‘ติสฺสโร’ จึงยึดนามฉายานี้ว่าเป็นนามที่ถูกต้อง แต่หากเมื่อพบเอกสารทางราชการที่น่าเชื่อถือระบุนามฉายาท่านไว้จะนำมาบอกกล่าวอีกครั้งหนึ่ง ปัจจุบันนามสมณศักดิ์เขียนเป็น ‘พระสังวรานุวงศ์เถร’ แทบทั้งสิ้น
ปูมหลังพระสังวรานุวงษ์เถร (ชุ่ม) กล่าวว่า มีนามเดิมว่า ชุ่ม เป็นบุตรนายอ่อน โพอ่อน และนางขลิบ โพอ่อน เกิดที่บ้านตำบลเกาะท่าพระ อำเภอบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี เมื่อวันพุธ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีฉลู เบญจศก จ.ศ. ๑๒๑๕ ตรงกับวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๙๖ ในต้นรัชกาลที่ ๔
เมื่ออายุได้ ๒๑ ปี ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดราชสิทธาราม มีพระสังวรานุวงษ์เถร (เมฆ) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระปลัดโต เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระสมุห์กลั่น เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อุปสมบทแล้วได้ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับกับพระสังวรานุวงษ์เถร (เมฆ) และศึกษาพระกรรมฐานต่อกับพระสังวรานุวงษ์เถร (เอี่ยม) ครั้งยังเป็นพระครูสังวรสมาธิวัตร และได้ออกสัญจรจาริกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ เป็นประจำทุกปี
ในเรื่องการออกธุดงค์ของพระสังวรานุวงษ์เถร (ชุ่ม) มีเรื่องเล่าถึงพระสังวรานุวงศ์ (ชุ่ม) เกี่ยวกับการธุดงค์ไปกราบนมัสการหลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งอาจารย์มนัส โอภากุล ได้เขียนถึงไว้ในหนังสือ ‘ประวัติศาสตร์เมืองสุพรรณ’ ว่า
“ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าสืบกันต่อมาว่า ท่านเจ้าคุณสังวรฯ วัดพลับ ธนบุรี ธุดงค์มานมัสการหลวงพ่อวัดป่าเลไลยก์ มาถึงวัดป่าเป็นเวลาเย็น ท่านเจ้าคุณมีความปรารถนาจะเข้าไปนมัสการหลวงพ่อวัดป่า เข้าประตูวิหารไม่ได้เพราะเด็กเฝ้าประตูพระวิหารกลับเสียก่อน ท่านจึงลองเอามือผลักประตูบานใหญ่ก็หาได้ขยับเขยื้อนไม่ เพราะใส่ดาลข้างในเข้าไม่ได้ ท่านจึงกลับมานั่งพักเหนื่อยอยู่ข้างนอก สักพักได้ยินประตูใหญ่เปิดดังเอี๊ยด แล้วบานประตูก็เผยออก ท่านเจ้าคุณจึงเข้าไปนมัสการ คิดว่าคงจะมีคนมาเปิดให้ เมื่อนมัสการแล้วท่านเจ้าคุณจึงเที่ยวสำรวจดูเพื่อคนที่เปิดบานประตูให้ใส่ดาลเสียตามเดิม ค้นหาอยู่เป็นนานก็ไม่พบ นึกประหลาดใจจึงกลับไปนั่งพักอยู่ที่เดิม ชั่วครู่ได้ยินเสียงประตูลั่นดังเอี๊ยดอีก บานประตูใหญ่ปิดสนิทแล้ว ท่านจึงเข้าไปดูไม่เห็นมีใครอยู่ในที่นั้นเลย ท่านเจ้าคุณพักอยู่ที่นั่นหนึ่งคืน รุ่งเช้าได้เล่าให้คนทำบุญฟังว่า ‘หลวงพ่อวัดป่าองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์นัก บอกลูกหลานอย่าได้ไปทำอุจาดลามกสกปรกในสถานที่นี้ จะเสื่อมเสียแก่ตัวเองและเป็นอันตราย’”

ในเวปไซค์ ‘สมเด็จสุก’ ของวัดราชสิทธาราม ได้กล่าวถึงประวัติพระสังวรานุวงษ์เถร (ชุ่ม) ตอนหนึ่งว่า
“ต่อมาได้รับสืบทอดไม้เท้าไผ่ยอดตาลจากพระสังวรานุวงษ์เถร (เมฆ) องค์พระอุปัชฌาย์”
จึงได้ลองค้นหาพบว่าในเวปไซค์ ‘สมเด็จสุก’ ในประวัติ ‘พระญาณโพธิ์เถร (ขาว)’ ได้กล่าวถึงความเป็นมาของไม้เท้าไผ่ยอดตาล ว่า
“พระอาจารย์ขาวเมื่อท่านมาสถิตวัดท่าหอยแล้ว พระอาจารย์สุก พระอาจารย์ของท่านได้มอบไม้เท้าเบิกไพรให้ท่าน ๑ อัน เรียกว่าไม้เท้าไผ่ยอดตาล พระอาจารย์สุกท่านได้ไม้เท้าไผ่ยอดตาลมาจากถ้ำในป่าลึกแห่งหนึ่ง เป็นของบูรพาจารย์ท่านทิ้งสังขารไว้ในถ้ำแห่งนั้นพร้อมไม้เท้าเบิกไพรไผ่ยอดตาล”
พระอาจารย์สุกนั่นคือ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน)
ในปี พ.ศ. ๒๔๒๑ ขณะยังเป็นพระชุ่มบวชได้เพียง ๔ พรรษา ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะหมวด จากนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๒๔ ได้เป็นพระใบฎีกา ว่าที่ถานานุกรมชั้นที่ ๓ ของพระสังวรานุวงษ์เถร (เมฆ) ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นพิเศษตำแหน่งรองเจ้าอาวาสวัดที่ ‘พระครูสังวรสมาธิวัตร’ ได้รับพระราชทานนิตยภัตเดือนละ ๗ บาท และในปีเดียวกันนี้พระครูสังวรสมาธิวัตร (ชุ่ม) ได้รับแต่งตั้งเป็นพระคณาจารย์เอกฝ่ายวิปัสสนาธุระ
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๗ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะสามัญฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ ‘พระสังวรานุวงษ์เถร’ รับพระราชทานพัดงาสานเป็นองค์สุดท้ายของวัดราชสิทธาราม ได้รับพระราชทานนิตยภัตเดือนละ ๑๒
ปี พ.ศ. ๒๔๕๘ พระสุธรรมสังวร (ม่วง) ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดราชสิทธารามกลับไปยังวัดเดิม คือ วัดประยูรวงศาวาส ซึ่งได้ย้ายมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๕๗ หลังจากพระมงคลเทพมุนี (เอี่ยม) ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเนื่องจากชราภาพ แต่อยู่ในตำแหน่งเพียง ๓ เดือนก็ขอลาออกจากตำแหน่งด้วยอาพาธกระเสาะกระแสะเรื่อยมาจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่เจ้าอาวาสวัดได้ จึงลาออกกลับไปอยู่วัดเดิมเพื่อรักษาตัว
พระสังวรานุวงษ์เถร (ชุ่ม) จึงได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัด และในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ ได้รับนิตยภัตเพิ่มขึ้นอีกเดือนละ ๒ บาท รวมเป็น ๒๔ บาท เทียบเท่าพระราชาคณะชั้นราช
มีพระเกจิอาจารย์ดังในยุคนั้นมาร่ำเรียนกรรมฐานมัชฒิมาแบบลำดับกับพระสังวรานุวงษ์เถรหลายรูปด้วยกัน เช่น พระครูประศาสนสิกขกิจ (พริ้ง อินฺทโชติ) วัดบางปะกอก พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) วัดปากน้ำ พระราชสังวราภิมณฑ์ (โต๊ะ อินฺทสุวณฺโณ) วัดประดู่ฉิมพลี พระครูพรหมญาณวินิจ (กล้าย สุวณฺหังโส) วัดหงส์รัตนาราม พระครูกสิณสังวร (ขัน) วัดสระเกศ พระพุทธวิถีนายก (เพิ่ม ปุญฺญวสโน) วัดกลางบางแก้ว
ส่วนหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค นั้นไม่ทันพระสังวรานุวงษ์เถร (ชุ่ม) จึงไปเรียนกับหลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก
วัตถุมงคของพระสังวรานุวงษ์เถร (ชุ่ม) ได้สร้างไว้มากมายหลายสิบแบบ เช่น
๑. ตะกรุดสามกษัตริย์
๒. ลูกน้ำเต้ากันไฟ
๓. พระพิมพ์เล็บมือ หรือพิมพ์ซุ้มกอ เนื้อชินตะกั่วถ้ำชา
๔. พระพิมพ์ห้าเหลี่ยม เนื้อชินตะกั่วถ้ำชา และเนื้อสำริด เนื้อเงิน
๕. พระพิมพ์สองหน้า เนื้อตะกั่ว
๖. พระพิมพ์เนื้อเงิน และเนื้อตะกั่ว
๗. พระปิดตา เนื้อตะกั่วอาบปรอท
สำหรับในด้านหลังพระเนื้อตะกั่วแทบทุกพิมพ์ จะมีเหล็กจารตัวเฑาะว์ขัดสมาธิ หรือบ้างก็ลงอักขระขอม อ่านว่า ‘อิ กะ วิ ติ’ มีตัว ‘นะ’ อยู่ตรงกลาง ที่เรียกกันว่า ‘ยันต์มงกุฎพระเจ้า’
สำหรับที่นำมาให้ชมเป็นเหรียญหล่อพิมพ์ห้าเหลี่ยม
ราคาเปิดประมูล 100 บาท
ราคาปัจจุบัน 1,200 บาท (ยังไม่ถึงราคาขั้นต่ำ)
เพิ่มขึ้นครั้งละ 50 บาท
วันเปิดประมูล จ. - 02 มิ.ย. 2568 - 08:39:37 น.
วันปิดประมูล พฤ. - 12 มิ.ย. 2568 - 08:39:37 น. (เหลือเวลา 3 วัน 4 ชั่วโมง 53 นาที)
ผู้ตั้งประมูล Neonat (1K)


(0)
 
ราคาปัจจุบัน :     1,200 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     50 บาท

!!! ท่านต้อง login เข้าสู่ระบบก่อน จึงจะสามารถร่วมประมูลได้ !!!


 
(0)
  ประวัติการเสนอราคา
 ผู้เสนอราคาราคาเวลา
  PIZZi (4.3K) 150 บาท จ. - 02 มิ.ย. 2568 - 09:22:55 น.
  wipobh (275) 200 บาท จ. - 02 มิ.ย. 2568 - 11:57:06 น.
  teoimeen (948) 300 บาท จ. - 02 มิ.ย. 2568 - 13:04:33 น.
  Nut2326 (775)(1) 1,000 บาท จ. - 02 มิ.ย. 2568 - 18:26:21 น.
  Sricharoen (215)(1) 1,200 บาท พฤ. - 05 มิ.ย. 2568 - 19:18:39 น.

Copyright ©G-PRA.COM
www1