ร่วมเสนอความคิดเห็น
หัวข้อกระทู้ :
สมเด็จวัดสามปลื้ม<รบกวนคุณพี่ๆที่ผู้รอบรู้ช่วยเล่าประวัติให้ทราบทีครับ>
(N)
สมเด็จวัดสามปลื้ม<รบกวนคุณพี่ๆที่ผู้รอบรู้ช่วยเล่าประวัติให้ทราบทีครับว่ารุ่นที่สร้างปีไหนขอบคุณครับ>
โดยคุณ
apiwach
(
714
)
[อ. 12 เม.ย. 2554 - 01:26 น.]
โดยคุณ
apiwach
(
714
)
[อ. 19 เม.ย. 2554 - 15:32 น.] #1628083 (1/7)
พระกรุวัดสามปลื้ม มีอายุมากกว่า150 ปี ผู้สร้าง มีด้วยกัน 2 ข้อมูล คือ 1. ผู้สร้างคือ พระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 2. ท่านพระอาจารย์พรหม และพระอาจารย์ช้าง สองพระเกจิอาจารย์ผู้เก่งกล้าวิทยาคมที่อยู่ "คณะกุฏิ" ณ วัดสามปลื้ม เมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 ขณะนั้นพระธรรมานุกูล (ด้วง) เป็นเจ้าอาวาส ศิลปสกุลช่าง ช่างราษฏร์ ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น อายุการสร้าง ได้มีบันทึกไว้ว่า ได้พบพระเครื่องสกุลนี้ 3 ครั้งด้วยกันนับแต่ปีพ.ศ. 2400 พ.ศ.2414 และพ.ศ.2483 องค์ประกอบพระ พระ วัดสามปลื้ม เป็นพระเนื้อผงสีขาว แตกหักง่าย นอกจากนี้ยังมีชนิดผงดำผสมใบลานเผา ชนิดเนื้อตะกั่ว และแม้แต่ เนื้อชิน ก็มีผู้พบเห็น จากเจดีย์เมื่อคราวแตกกรุ ลักษณะวรรณะพระ ในพระเนื้อผง จะมีเนื้อละเอียด แก่น้ำมันตังอิ้ว พระเกือบทั้งหมดลงรักปิดทองมาจากกรุ มีลักษณะที่แตก เปราะ หักง่าย พุทธลักษณะ เป็นพระปางสมาธิ นั่งบนฐานทึบ มีผ้าทิพย์ จำแนกพิมพ์ แม้ว่าพระ กรุวัดสามปลื้ม จะมีจำนวนมากมาย และจากบันทึกการพบครั้งสุดท้ายในเจดีย์องค์ที่สามของวัดว่าพบถึง 50,000 กว่าองค์นั้น แต่ที่นิยมในวงการพระมีดังนี้ 1. พระพิมพ์กลีบบัว (เศียรโล้น) 2. พระพิมพ์กลีบบัว (เศียรแหลม) 3. พระพิมพ์ห้าเหลี่ยม 4. พระพิมพ์บัวฟันปลา 5. พระพิมพ์สามเหลี่ยมใหญ่ 6. พระพิมพ์สามเหลี่ยมเล็ก 7. พระพิมพ์พิเศษ ปางต่าง ๆ (แต่ไม่นิยม)
โดยคุณ
apiwach
(
714
)
[อ. 19 เม.ย. 2554 - 15:41 น.] #1628091 (2/7)
.....ประวัติพระกรุวัดสามปลื้ม พิมพ์นี้เรียกว่าพิมพ์สามเหลี่ยมใหญ่ มีอายุประมาณ 200ปี
.....สร้างสมัยพระยาบดินทรเดชา(สิงห์) มีพุทธลักษณะแบบศิลปะอยุธยา ในสมัย "ท่านเจ้ามา" วัดสามปลื้มท่านได้รื้อพระเจดีย์เก่าเจอพระกรุวัดสามปลื้ม ท่านจึงได้แบ่งให้ประชาชนบูชา เพื่อหาปัจจัยทำนุบำรุงวัด
.....ส่วนอานุภาพและปาฎิหารย์นั้นในช่วง พ.ศ.2485 - 2488 ประเทศไทยได้เกิดสงครามกับอังกฤษและอเมริกา ที่เรียกว่าสงคราม "มหาเอเชียบูรพา"
.....ทหารที่ออกรบจะได้แจกพระกรุวัดสามปลื้ม ปืนจึงยิงไม่เข้าเมื่อคราวประจันหน้ากัน ทหารต่างชาติเอาปืนที่มีปลายดาบจ้วงแทงทหารไทยไม่เข้า และทหารไทยโดนปืนยิงแล้วล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ได้จึงเรียกกันว่า "ทหารผี"
.....คนสมัยก่อน หรือเ ซียนสมัยเก่า จึงนิยมมาก เป็นที่รู้กันทั่วแถมยังเอาผงมาผสมปลุกเสกวัตถุมงคลต่างๆอีมากมายหลายรุ่น
โดยคุณ
apiwach
(
714
)
[อ. 19 เม.ย. 2554 - 15:51 น.] #1628100 (3/7)
ประวัติ พระผงวัดสามปลื้ม (วัดจักรวรรดิราชาวาส) กทม.
พระผงวัดสามปลื้ม สร้างในสมัยของเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) มีพุทธลักษณะแบบศิลปอยุธยา สร้างไว้หลายแบบหลายขนาด
ในอดีตกาล นานมาแล้ว มีคณะกุฏิ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวัด โดยมีอาณาเขตติดต่อกับถนนสำเพ็ง ทิศตะวันออกจรดบริเวณพระพุทธปรางค์ทิศใต้ติดศาลาดิน (เดิม) ซึ่ง บริเวณข้างคณะกุฏินี้เอง มีเจดีย์เก่า เรียงอยู่หลายองค์
พอมาในสมัยของพระพุฒาจารย์ (มา) เป็นเจ้าอาวาส ท่านได้ทำการรื้อพระเจดีย์เก่า แล้วพบวัตถุมงคลอื่น ๆ อีกมากมาย โดยสร้างตึกแถว อาคารพาณิชย์ ขึ้นแทนในบริเวณที่ว่างดังกล่าว เพื่อหาผลประโยชน์บำรุงวัดและพระภิกษุสามเณรในวัด
จากการรื้อถอนพระเจดีย์เก่าครั้งนี้ ไม่ได้รื้อถอนไปทั้งหมด ยังคงเหลือไว้อีก 1 องค์ ซึ่งยอดบนตรงคอระฆังหัก พื้นองค์เป็นที่ลุ่ม มีน้ำขังอยู่ ด้วยเหตุดังกล่าวมีลูกศิษย์ ในคณะกุฏิ ได้เก็บพระเครื่องได้จำนวนหนึ่ง และลูกศิษย์ท่านนี้ ได้นำพระไปแลก เพื่อนำไปซื้อขนมมารับประทาน ในราคาองค์ละ 25 สตางค์
การพบพระพิมพ์ครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2463 พระคุณาจารวัตร (ใช สุวณฺโณ) เจ้าอาวาสวัดจักรวรรดิราชาวาส
ขณะนั้น ดำรงสมณศักดิ์เป็น พระครูมงคลวิจิตร ได้ทำการรื้อพระเจดีย์เก่าที่ชำรุดองค์นั้น การรื้อคราวนี้ พบพระพิมพ์เนื้อผงสีขาวจำนวนมาก ได้ทั้งหมด 4 ปี๊บ แล้วได้นำไปเก็บไว้ที่บนลานพระพุทธบาท การพบพระพิมพ์ในครั้งนี้ ยังพบ พระพุทธรูปทองเหลือง พระบูชาทำด้วยไม้ ครั่งบุด้วยเงิน กับสมุดคัมภีร์ต่างๆ จำนวนมาก ภายหลังปรากฎว่า มีพระเหลืออยู่แค่ 2 ปี๊บ ด้วยเหตุนี้ ท่านพระครูมงคลวิจิตร ได้คัดเลือกเอาเฉพาะองค์ที่สมบูรณ์คัดเก็บรักษาไว้ โดยได้รวบรวมกับพระพุทธรูปทองเหลือง ทำด้วยไม้ ครั่ง บุเงิน กับคัมภีร์ต่าง ๆ ในปีพ.ศ. 2465
การพบพระพิมพ์ครั้งที่ 3 ในปีพ.ศ. 2483 ในสมัยพระคุณาจารวัตร เป็นเจ้าอาวาสวัดจักรวรรดิราชาวาสรูปที่ 10 ท่านพระคุณเจ้าพระคุณาจารวัตร ได้ให้มีการขยายถนนเดิม ทางเดินจากประตูด้านถนนสำเพ็งสู่วัดซึ่งอยู่ระหว่างพระอุโบสถด้านทิศตะวันตก กับ พระพุทธปรางค์ด้านทิศตะวันออก ให้กว้างกว่าเดิม ซึ่งการขยายในครั้งนี้ ได้ทำการย้ายศาลเจ้าพ่อบดินทร์ จากเดิมอยู่ทางทิศตะวันออกของพระปรางค์ มาอยู่ที่ใหม่ทางทิศใต้แทน ทำให้ท่านเจ้าคุณพระคุณาจารวัตร รื้อพระเจดีย์เก่า ซึ่งทรุดโทรมอีก 3 องค์ด้วย แล้วนำไปสร้างใหม่ทางด้านทิศปัจฉิม ทดแทนองค์เดิม
จากการรื้อถอนพระเจดีย์ในครั้งนี้ โดยพระเจดีย์องค์แรก ได้พบ พระพิมพ์เนื้อผงสีขาว แบบสี่เหลี่ยม คล้ายกับพระพิมพ์ของสมเด็จพระพุฒจารย์(โต) จำนวน 80 องค์
จากการรื้อพระเจดีย์องค์ที่ 2 พบใบลานจารึกอักษรขอม พระพุทธรูปทองเหลืองแบบพระบูชา กับพระทำด้วยไม้ ครึ่งบุด้วยเงินบุทอง
จากการรื้อพระเจดีย์องค์ที่ 3 พบพระพิมพ์แบบต่างๆ
1. พระพุทธรูปทองเหลือง แบบพระบูชา
2. พระบัวเข็ม
3. พระทำด้วยไม้ ครั่งบุเงินบุทอง
4. พระเงินขนาดเล็ก หนัก 1 บาทบ้าง 2 บาทบ้าง
5. พระพุทธรูปทองคำ
6. แหวนทองคำหนวดกุ้ง
7. แหวนนาค
8. ใบลานจารึกเป็นภาษาบาลี
9. ตะกรุดโลหะ ชนิดต่างๆ อาทิ ตะกั่ว ทองแดง แต่ละชนิดมีหลายขนาด แต่ละอันยาวประมาณ 1 คืบเศษ
10. พระหลวงพ่อโต ซึ่งปรากฏว่าเป็นพระที่ขึ้นที่วัดเชตุพนฯ (วัดโพธิ์) แต่ไม่ทราบว่าสร้างในสมัยใด มีอยู่จำนวนน้อย
จากพระพิมพ์ที่พบ ได้แบ่งพระพิมพ์ได้ 3 ชนิดคือ
1. พระพิมพ์ชนิดผงดำ มี อยู่ 5 แบบ คือ
1.1 แบบสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ฐานผ้าทิพย์ มี 5 ขนาด
1.2 แบบกลีบบัว ฐานผ้าทิพย์ มี 5 ขนาด
1.3 แบบห้าเหลี่ยม ฐานผ้าทิพย์ มี 5 ขนาด
1.4 แบบกลีบบัว เศียรโล้น ฐานผ้าทิพย์ มีขนาดเดียว
1.5 แบบสามเหลี่ยม หน้าจั่ว ฐานบัวคว่ำบัวหงาย มีขนาดเดียว
2.พระพิพม์ชนิดโลหะ มี 6 แบบ คือ
2.1 แบบสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ฐานผ้าทิพย์ มี 5 ขนาด
2.2 แบบห้าเหลี่ยม ฐานผ้าทิพย์ มี 5 ขนาด
2.3 แบบกลีบบัว ฐานผ้าทิพย์ มี 5 ขนาด
2.4 แบบสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ฐานบัวคว่ำบัวหงาย
2.5 แบบเศียรโล้น ฐานผ้าทิพย์ มีขนาดเดียว
2.6 แบบซุ้มคูหา ฐานผ้าทิพย์
3. พระพิพม์ชนิดผงขาว มีทั้งหมด 22 แบบ (จากหนังสือประวัติพระพิมพ์ วัดจักรวรรดิราชาวาส พระครูประสิทธิสมณการ ผู้เรียบเรียง)
3.1 แบบสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ฐานผ้าทิพย์ มี 5 ขนาด
3.2 แบบกลีบบัว ฐานผ้าทิพย์ มี 5 ขนาด
3.3 แบบห้าเหลี่ยม ฐานผ้าทิพย์ มี 5 ขนาด
3.4 แบบสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ฐานบัวคว่ำบัวหงาย มีขนาดเดียว
3.5 แบบกลีบบัวเศียรโล้น ฐานผ้าทิพย์ มีขนาดเดียว
3.6 แบบดอกบัวบาน มีอักษรจารึกอยู่ตรงเกสร มี 3 ขนาด
3.7 แบบพระยืนมีดังนี้
3.7.1 ปางเสด็จจากดาวดึงส์
3.7.2 โมคัลลาน์-สารีบุตร
3.7.3 ปางลีลา
3.8 แบบทรงมณฑปพระพุทธบาท มี 3 ขนาด
3.9 แบบทรงเจดีย์ มี 3 ขนาด
3.10 แบบพระนพเคราะห์ มี 9 แบบ คือ
3.10.1 พระถวายเนตร วันอาทิตย์
3.10.2 พระห้ามญาติ วันจันทร์
3.10.3 พระไสยาสน์ วันอังคาร
3.10.4 พระอุ้มบาตร วันพุธ
3.10.5 พระนั่งขัดสมาธิ วันพฤหัสบดี
3.10.6 พระรำพึง วันศุกร์
3.10.7 พระนาคปรก วันเสาร์
3.10.8 พระป่าเลไลย์ พระราหู (พุธกลางคืน)
3.10.9 พระมารวิชัย พระเกตุ
3.11 แบบปรุหนัง ฐานผ้าทิพย์ มีขนาดเดียว
3.12 แบบหลวงพ่อโต
จากการพบพระพิมพ์ต่างๆ ในคราวนี้ รวมได้ประมาณ ห้าหมื่นองค์ ในคราวเกิดสงครามกรณีพิพาทอินโดจีนกับฝรั่งเศส พระส่วนหนึ่งประมาณ หนึ่งหมื่นกว่าองค์ พระคุณเจ้าพระคุณาจารวัตร ได้นำมา แจกจ่ายไปตามกระทรวง ทบวงกรม และทหารบก ทหารเรือ ตำรวจ และ พระภิกษุสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ผู้อยากได้ไว้สัการะบูชาทั่วไป จนหมดสิ้นในเวลาต่อมา
อานุภาพและปาฎิหารย์ ในช่วงปีพ.ศ. 2485 - 2488 ประเทศไทยเกิดสงครามกับประเทศอังกฤษ และอเมริกาที่เรียกว่า สงครามมหาเอเซียบูรพา ทหารที่ออกรบ ปืนยิงไม่เข้า เมื่อถึงคราวประจันบานโดยใช้ดาบปลายปืนฝรั่งแทงทหารไทยไม่เข้า ทหารไทยโดนปืนยิงล้มลงไปแล้ว ก็ลุกขึ้นมาต่อสู้ใหม่ได้อีก จนได้ขนานนามว่า ทหารผี
บทคัดย่อจาก หนังสือ เซียนพระ โดย กริช สงวนคม
โดยคุณ
apiwach
(
714
)
[อ. 19 เม.ย. 2554 - 15:51 น.] #1628103 (4/7)
ประวัติ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆัง
พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ชาติภูมิ เดิมชื่อ โต เป็นบุตรของนาง งุด บิดาไม่เป็นที่ปรากฏ ตา ชื่อ ผล ยายชื่อนางลา ถือกำเนิด ในแผ่นดิน รัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช เมื่อ วันพฤหัสที่ 17 เมษายน พ.ศ.2331 สัมฤทธิศก จุลศักราช1150 เวลา ประมาณ 06.54 น. ตรงกับเดือน 5 ขึ้น 12 ค่ำ ปีวอก เดิมแม่เป็นชาวบ้าน ท่าอิฐ อำเภอบ้านโพ (อำเภอเมือง ในปัจจุบัน) จังหวัดอุตรดิตถ์ ต่อมาเกิดฝนแล้ง ติดต่อกันหลายปี ทำนาไม่ได้ผล จึงย้ายมาอยู่ ที่เมืองกำแพงเพชร (และน่าจะได้พบกับ พ่อของท่านเจ้าประคุณ สมเด็จ ฯ(โต) ณ เมืองนี้) พอตั้งท้อง ก็ได้ไปอยู่กับยาย ที่เรือนแพหน้าวัดไก่จ้น และวัดสะตือ ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แม่งุดเมื่อคลอดเด็กชายโตแล้ว ขณะยังนอนเบาะอยู่ก็ได้ย้ายไป อยู่บริเวณ วัดไชโย ใน จังหวัด อ่างทอง ระยะหนึ่ง ต่อมามารดา ก็ได้ย้ายไปตั้งถิ่นฐาน ไปอยู่ที่ตำบล บางขุนพรหม กรุงเทพฯ และสอนยืนได้ ที่บริเวณ ตำบลบางขุนพรหมนี้
เมื่อโตขึ้นแม่ได้มอบตัว ให้เป็นศิษย์ของ ท่านเจ้าคุณอรัญญิก เจ้าอาวาส วัดอินทรวิหาร เพื่อศึกษา อักขรสมัย เมื่ออายุ 12 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อปีวอก พ.ศ.2342 โดยมีพระบวรวิริยเถระ(อยู่) เจ้าอาวาสวัด บางลำภูบน (วัดสังเวชวิศยาราม-ปัจจุบัน) เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อบรรพชาแล้ว ได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ ณ วัดอินทรวิหาร จนหมดความรู้ ของครูอาจารย์ มีความประสงค์ ที่จะศึกษาภาษาบาลีต่อ ท่านเจ้าคุณอรัญญิกจึงได้นำไป ฝากอยู่กับ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(นาค เปรียญเอก) วัดระฆังโฆสิตาราม สามเณรโต เป็นผู้มีความวิริยะ อุตสาหะในการศึกษา เป็นอย่างดี มีวัตรปฏิบัติที่งดงามน่าเลื่อมใส จนปรากฏว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นสมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ทรงโปรดปรานมาก ทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้พระราชทาน เรือกราบกัญญา หลังคากระแชง ให้ท่านไว้ใช้สอยตามอัธยาศัย เมื่ออายุ 20 ปี ตรงกับปีเถาะ พ.ศ.2350 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นนาคหลวง อุปสมบท ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)
โดยมีสมเด็จพระสังฆราช(สุก) วัดมหาธาตุ เป็นพระอุปัชฌาย์ให้ฉายาว่า พฺรหฺมรํสี และเรียกว่า มหาโต ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สมณศักดิ์ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ไม่ติดในยศศักดิ์ ได้ปฏิเสธเรื่อยมา จนกระทั่งไม่สามารถ หลีกได้จึงจำใจยอมรับ - เป็นพระธรรมกิตติ สถาปนาพร้อมกับ ตำแหน่งเจ้า อาวาสวัด ระฆังโฆสิตาราม โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปีชวด พ.ศ.2395 ขณะอายุ 65 ปี
- เป็นพระเทพกวี เมื่อปีขาล พ.ศ. 2397
- เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)
สถาปนาในคราวสมเด็จพระพุฒาจารย์(สน) วัดสระเกศมรณภาพลง ซึ่งตรงกับ วันพฤหัสบดี ขึ้น 9 ค่ำ เดือนยี่ ปีชวด พ.ศ.2407 นับเป็น สมเด็จพระพุฒาจารย์ รูปที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในปีที่ 5 แห่งแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พฺรหฺมรํสี) ได้ไปดูงานก่อสร้างพระโต วัดบางขุนพรหมใน(วัดอินทรวิหารปัจจุบัน) ได้มรณภาพ ที่บนศาลาการเปรียญ วัดบางขุนพรหมใน ด้วยโรคลมปัจจุบัน เมื่อวันเสาร์ ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ.2415 ตรงกับ แรม 2 ค่ำ เดือน 8 (ต้น) ปีวอก จัตวาศก จุลศักราช 1234 เวลา 24.00 น. คิดทด หักเดือน ตามอายุโหราจารย์ ตามสุริยคตินิยม จึงเป็นสิริอายุรวม 84 ปี พรรษา 64
โดยคุณ
apiwach
(
714
)
[อ. 19 เม.ย. 2554 - 15:52 น.] #1628105 (5/7)
ประวัติ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด วัดช้างให้
สมเด็จเจ้าพะโคะหรือหลวงพ่อทวด เป็นที่รู้จักของชาวไทยทุกภูมิภาคในฐานะพระศักดิ์สิทธิ์ที่มีอิทธิปาฏิหาริย์และอภิญญาแก่กล้าจนได้สมญาว่า หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ประวัติอันพิสดารของท่านมีเล่าสืบกันมาไม่รู้จบสิ้น ยิ่งนานวันยิ่งซับซ้อนและขยายวงกว้างออกไปกลายเป็นความเชื่อความศรัทธาอย่างฝังใจ
หลวงพ่อทวดเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ เรื่องราวต่อไปนี้ผู้เขียนได้รวบรวมจากหนังสืออ้างอิงหลายเล่มทั้งที่เป็นตำนานหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หนังสือและเอกสารต่างๆ พอจะให้ท่านผู้อ่านได้ทราบว่า หลวงพ่อทวดคือใคร เกิดในสมัยใดและได้สร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและพระศาสนาไว้อย่างไรบ้าง เพื่อเป็นคติเตือนใจแก่อนุชนรุ่นหลังสืบไป
ทารกอัศจรรย์
เมื่อประมาณสี่ร้อยปีที่ผ่านมาในตอนปลายรัชสมัยของพระมหาธรรมราชา แห่งกรุงศรีอยุธยา ณ หมู่บ้านสวนจันทร์ ตำบลชุมพล เมืองจะทิ้งพระตรงกับวันศุกร์ เดือนสี่ ปีมะโรง พุทธศักราช 2125 ได้มีทารกเพศชายผู้หนึ่งถือกำเนิดจากครอบครัวเล็กๆ ฐานะยากจนแร้นแค้น แต่มีจิตอันเป็นกุศล ชอบทำบุญสุนทานยึดมั่นในศีลธรรมอันดี ปราศจากการเบียดเบียนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ทารกน้อยผู้
นี้มีนายว่า ปู เป็นบุตรของนายหู นางจันทร์ ในขณะเยาว์วัย ทารกผู้นั้นยังความอัศจรรย์ให้แก่บิดามารดาตลอดจนญาติพี่น้องทั้งหลาย ด้วยอยู่มาวันหนึ่งมีงูตระบองสลาตัวใหญ่มาขดพันอยู่รอบเปลที่ทารกน้อยนอนหลับอยู่ และงูใหญ่ตัวนั้นไม่ยอมให้ใครเข้ามาใกล้เปลที่ทารกน้อยนอนอยู่เลย จนกระทั่งบิดามารดาของเด็กเกิดความสงสัยว่า พญางูตัวนั้นน่าจะเป็นเทพยดาแปลงมาเพื่อให้เห็นเป็นอัศจรรย์ในบารมีของลูกเราเป็นแน่แท้ จึงรีบหาข้าวตอกดอกไม้และธูปเทียนมาบูชาสักการะ งูใหญ่จึงคลายลำตัวออกจากเปลน้อย เลื้อยหายไป ต่อมาเมื่อพญางูจากไปแล้ว บิดามารดาทั้งญาติต่างพากันมาที่เปลด้วยความห่วงใยทารก ก็ปรากฏว่าเด็กชายปูยังคงนอนหลับอยู่เป็นปกติ แต่เหนือทรวงอกของทารกกลับมีดวงแก้วดวงหนึ่งมีแสงรุ่งเรืองเป็นรัศมีหลากสี ตาหู นางจันทร์จึงเก็บรักษาไว้ นับแต่บัดนั้นฐานะความเป็นอยู่การทำมาหากินก็จำเริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับอยู่สุขสบายตลอดมา
สามีราโม
เมื่อกาลล่วงมานานจนเด็กชายปูอายุได้เจ็ดขวบ บิดาได้นำไปฝากสมภารจวง วัดกุฏิหลวง (วัดดีหลวง) เพื่อให้เล่าเรียนหนังสือเด็กชายปูมีความเฉลียวฉลาดมาก สามารถเรียนหนังสือขอมและไทยได้อย่างรวดเร็ว ครั้นอายุได้ 15 ปี ก็บรรพชาเป็นสามเณรและบิดาได้มอบแก้ววิเศษไว้เป็นของประจำตัว ต่อมาสามเณรปูได้ไปศึกษาต่อกับสมเด็จพระชินเสน ที่วัดสีหยัง (สีคูยัง) ครั้นอายุครบอุปสมบทจึงได้เดินทางไปศึกษาต่อที่นครศรีธรรมราช ณ สำนักพระมหาเถระปิยทัสสี ได้ทำการอุปสมบทมีฉายาว่า ราโม ธมฺมิโก แต่คนทั่วไปเรียกท่านว่า เจ้าสามีราม หรือ เจ้าสามีราโม เจ้าสามีรามได้ศึกษาอยู่ที่วัดท่าแพ วัดสีมาเมือง และวัดอื่นๆ อีกหลายวัด เมื่อเห็นว่าการศึกษาที่นครศรีธรรมราชเพียงพอแล้วจึงขอโดยสารเรือสำเภาเดินทางไปกรุงศรีอยุธยา ขณะเดินทางถึงเมืองชุมพร เกิดคลื่นทะเลปั่นป่วน เรือไม่สามารถแล่นฝ่าคลื่นลมไปได้ต้องทอดสมออยู่ถึงเจ็ดวัน ทำให้เสบียงอาหารและน้ำหมดบรรดาลูกเรือตั้งข้อสงสัยว่าการที่เกิดเหตุอาเพศในครั้งนี้เพราะเจ้าสามีราม จึงตกลงใจให้ส่งเจ้าสามีรามขึ้นเกาะและได้นิมนต์ให้เจ้าสามีรามลงเรือมาด ขณะที่นั่งอยู่ในเรือมาดนั้น ท่านได้ห้อยเท้าแช่ลงไปในทะเลก็บังเกิดอัศจรรย์น้ำทะเลบริเวณนั้นเป็นประกายแวววาวโชติช่วง
เจ้าสามีรามจึงบอกให้ลูกเรือตักน้ำขึ้นมาดื่มก็รู้สึกว่าเป็นน้ำจืด จึงช่วยกันตักไว้จนเพียงพอ นายสำเภาจึงนิมนต์ให้ท่านขึ้นสำเภาอีก และตั้งแต่นั้นมาเจ้าสามีรามก็เป็นชีต้นหรืออาจารย์สืบมา
เมื่อถึงกรุงศรีอยุธยา ก็ได้ไปพำนักอยู่ที่วัดแค ศึกษาธรรมะที่ วัดลุมพลีนาวาส ต่อมาได้ไปพำนักอยู่ที่วัดของสมเด็จพระสังฆราช ได้ศึกษาธรรมและภาษาบาลี ณ ที่นั้นจนเชี่ยวชาญจึงทูลลาสมเด็จพระสังฆราชไปจำพรรษาที่วัดราชนุวาส เมื่อประมาณ พ.ศ. 2149 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถ
รบด้วยปัญญา
กระทั่งวันหนึ่งถึงกาลเวลาที่ชื่อเสียงของหลวงปู่ทวดหรือเจ้าสามีรามจะระบือลือลั่นไปทั่วกรุงสยาม จึงได้มีเหตุพิสดารอุบัติขึ้นในรัชสมัยของพระเอกาทศรถ กล่าวคือ สมัยนั้นพระเจ้าวัฏฏะคามินี แห่งประเทศลังกา ซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรแหลมทองทางภาคใต้ คิดแก้มือด้วยการท้าพนันแปลธรรมะ และต้องการจะแผ่พระบรมเดชานุภาพมาทางแหลมทอง ใคร่จะได้กรุงศรีอยุธยามาเป็นประเทศราช แต่พระองค์ไม่ปรารถนาให้เกิดศึกสงครามเสียชีวิตแก่ประชาชนทั้งสองฝ่าย จึงทรงวางแผนการเมืองด้วยสันติวิธี คิดหาทางรวบรัดเอากรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองขึ้นด้วยสติปัญญาเป็นสำคัญ เมื่อคิดได้ดังนั้น พระเจ้ากรุงลังกาจึงมีพระบรมราชโองการสั่งให้พนักงาน ท้องพระคลังเบิกจ่ายทองคำบริสุทธิ์แล้วให้ช่างทองประจำราชสำนักไปหล่อ ทองคำเหล่านั้นให้เป็นตัวอักษรบาลีเล็กเท่าใบมะขาม ตามพระอภิธรรมทั้งเจ็ดคัมภีร์ จำนวน 84,000 ตัว จากนั้นก็ทรงรับสั่งให้พราหมณ์ผู้เฒ่าอันมีฐานะเทียบเท่าปุโรหิตจำนวนเจ็ดท่านคุมเรืองสำเภาเจ็ดลำบรรทุกเสื้อผ้าแพรพรรณ และของมีค่าออกเดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับปริศนาธรรมของพระองค์
เมื่อพราหมณ์ทั้งเจ็ดเดินทางลุล่วงมาถึงกรุงสยามแล้วก็เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นของกษัตริย์ตนแก่พระเจ้าเอกาทศรถ มีใจความในพระราชสาส์นว่าพระเจ้ากรุงลังกาขอท้าให้พระเจ้ากรุงสยามทรงแปลและเรียบเรียงเมล็ดทองคำตามลำดับให้เสร็จภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับพระราชสาส์นนี้เป็นต้นไป ถ้าทรงกระทำไม่สำเร็จตามสัญญาก็จะยึดกรุงศรีอยุธยาให้อยู่ใต้พระบรมเดชานุภาพของพระองค์ และทางกรุงสยามจะต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองอีกทั้งเครื่องราชบรรณาการแก่กรุงลังกาตลอดไปทุกๆ ปีเยี่ยงประเทศราชทั้งหลาย
พระสุบินนิมิต
เมื่อพระเอกาทศรถทรงทราบความ ดังนั้น จึงมีพระบรมราชโองการให้สังฆการีเขียนประกาศนิมนต์พระราชาคณะและพระเถระทั่วพระมหานคร ให้กระทำหน้าที่เรียบเรียงและแปลตัวอักษรทองคำในครั้งนี้ แต่ก็ไม่มีท่านผู้ใดสามารถเรียบเรียงและแปลอักษรทองคำในครั้งนี้ได้จนกาลเวลาลุล่วงผ่านไปได้หกวัน ยังความปริวิตกแก่พระองค์และไพร่ฟ้าประชาชนต่างพากันโจษขานถึงเรื่องนี้ให้อื้ออึงไปหมด
ครั้นราตรีกาลยามหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้าพระบรรทมทรงสุบินว่า ได้มีพระยาช้างเผือกลักษณะบริบูรณ์เฉกเช่นพระยาคชสารเชือกหนึ่ง ผายผันมาจากทางทิศตะวันตก เยื้องย่างเข้ามาในพระราชนิเวศน์แล้วก้าวเข้าไปยืนผงาดตระหง่านบนพระแท่นพลางเปล่งเสียงโกญจนาทกึกก้องไปทั่วทั้งสี่ทิศ เสียงที่โกญจนาทด้วยอำนาจของพระยาคชสารเชือกนั้นยังให้พระองค์ทรงสะดุ้งตื่นจากพระบรรทม
รุ่งเช้าเมื่อพระองค์เสด็จออกว่าราชการ ได้ทรงรับสั่งถึงพระสุบินนิมิตประหลาดให้โหรหลวงฟังและได้รับการกราบถวายบังคมทูลว่า เรื่องนี้หมายถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์และพระบรมเดชานุภาพจะแผ่ไพศาลไปทั่วสารทิศเป็นที่เกรงขามแก่อริราชทั้งปวง ทั้งจะมีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งจากทางทิศตะวันตก มาช่วยขันอาสาแปลและเรียบเรียงตัวอักษรทองคำปริศนาได้สำเร็จ พระเจ้าอยู่หัวได้ฟังดังนั้นจึงค่อยเบาพระทัย และรับสั่งให้ข้าราชบริพารทั้งมวลออกตามหาพระภิกษุรูปนั้นทันที
อักษรเจ็ดตัว
ต่อมาสังฆการีได้พยายามเสาะแสวงหาจนไปพบ เจ้าสามีราม ที่วัดราชานุวาส และเมื่อได้ไต่ถามได้ความว่าท่านมาจากเมืองตะลุง (พัทลุงในปัจจุบัน) เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย สังฆการี จึงเล่าความตามเป็นจริงให้เจ้าสามีรามฟังทั้งได้อ้างตอนท้ายว่า เห็นจะมีท่านองค์เดียวที่ตรงกับพระสุบินของพระเจ้าอยู่หัว จึงใคร่ขอนิมนต์ให้ไปช่วยแก้ไขในเรื่องร้ายดังกล่าวให้กลายเป็นดี ณ โอกาสนี้ ครั้นแล้วเจ้าสามีรามก็ตามสังฆการีไปยังที่ประชุมสงฆ์ ณ ท้องพระโรง พระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งให้พนักงานปูพรมให้ท่านนั่งในที่อันควร พราหมณ์ทั้งเจ็ดคนได้ประมาทเจ้าสามีรามโดยว่า เอาเด็กสอนคลานมาให้แก้ปริศนา เจ้าสามีรามก็แก้คำพราหมณ์ว่า กุมารเมื่ออกมาแต่ครรภ์พระมารดา กี่เดือนกี่วันจึงรู้คว่ำ กี่เดือนกี่วันจึงรู้นั่ง กี่เดือนกี่วันจึงรู้คลาน จะว่ารู้คว่ำแก่ หรือจะว่ารู้นั่งแก่ หรือจะว่ารู้คลานแก่ ทำไมจึงว่าเราจะแก้ปริศนาธรรมมิได้ พราหมณ์ก็นิ่งไปไม่สามารถตอบคำถามท่านได้ จากนั้นจึงรีบนำบาตรใส่อักษรทองคำเข้าไปประเคนแก่เจ้าสามีราม
โดยคุณ
apiwach
(
714
)
[อ. 19 เม.ย. 2554 - 16:09 น.] #1628111 (6/7)
หน้า 2 จาก 2
ท่านรับประเคนมาจากมือพราหมณ์แล้วนั่งสงบจิตอธิษฐานว่า ขออำนาจคุณบิดามารดาครูบาอาจารย์และอำนาจผลบุญกุศลที่ได้สร้างมาแต่ปางก่อนและอำนาจเทพยดาที่รักษาพระนครตลอดถึงเทวดาอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ครั้งนี้อาตมาจะแปลพระธรรมช่วยกู้บ้านกู้เมือง ขอให้ช่วยดลบันดาลจิตใจให้สว่างแจ้งขจัดอุปสรรคที่จะมาขัดขวาง ขอให้แปลพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสำเร็จสมปรารถนาเถิด ท่านรับประเคนมาจากมือพราหมณ์แล้วนั่งสงบจิตอธิษฐานว่า ขออำนาจคุณบิดามารดาครูบาอาจารย์และอำนาจผลบุญกุศลที่ได้สร้างมาแต่ปางก่อนและอำนาจเทพยดาที่รักษาพระนครตลอดถึงเทวดาอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ครั้งนี้อาตมาจะแปลพระธรรมช่วยกู้บ้านกู้เมือง ขอให้ช่วยดลบันดาลจิตใจให้สว่างแจ้งขจัดอุปสรรคที่จะมาขัดขวาง ขอให้แปลพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสำเร็จสมปรารถนาเถิด
ครั้นแล้วท่านก็คว่ำบาตรเทอักษรทองคำเริ่มแปลปริศนาธรรมทันที ด้วยอำนาจบุญญาบารมี กฤษดาภินิหารของท่านที่ได้จุติลงมาเป็นพระโพธิสัตว์โปรดสัตว์ในพระพุทธศาสนา กอปรกับโชคชะตาของประเทศชาติที่จะไม่เสื่อมเสียอธิปไตย เดชะบุญญาบารมีในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพยาดาทั้งหลายจึงดลบันดาลให้ท่านเรียบเรียงและแปลอักษรจากเมล็ดทองคำ 84,000 ตัว เป็นลำดับโดยสะดวกไม่ติดขัดประการใดเลย
ขณะที่ท่านเรียบเรียงและแปลอักษรไปได้มากแล้ว ปรากฏว่าเมล็ดทองคำตัวอักษรขาดหายไปเจ็ดตัวคือ ตัว สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ ท่านจึงทวงถามเอาที่พราหมณ์ทั้งเจ็ด พราหมณ์ทั้งเจ็ดก็ยอมจำนวน จึงประเคนเมล็ดทองคำที่ตนซ่อนไว้นั้นให้ท่านแต่โดยดี ปรากฏว่าท่านแปลพระไตรปิฎกจากเมล็ดทองคำสำเร็จบริบูรณ์เป็นการชนะพราหมณ์ในเวลาเย็นของวันนั้น
พระราชมุนี
สมเด็จพระเอกาทศรถทรงพระโสมนัสยินดีเป็นที่ยิ่ง ทรงมีรับสั่งถวายราชสมบัติให้แก่เจ้าสามีรามให้ครอง 7 วัน แต่ท่านก็มิได้รับโดยให้เหตุผลว่าท่านเป็นสมณะ พระองค์ก็จนพระทัยแต่พระประสงค์อันแรงกล้าที่จะสนองคุณความดีความชอบอันใหญ่ยิ่งให้แก่ท่านในครั้งนี้ จึงพระราชทานสมณศักดิ์ให้เจ้าสามีรามเป็น พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ ในเวลานั้น พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์หรือหลวงพ่อทวดได้ไปจำพรรษาอยู่ ณ วัดราชานุวาส ศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่เป็นเวลาหลายปี ด้วยความสงบร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา
โรคห่าเหือดหาย
ต่อจากนั้น กรุงศรีอยุธยาเกิดโรคห่าระบาดไปทั่วเมือง ประชาราษฎรล้มป่วยเจ็บตายลงเป็นอันมาก ประชาชนพลเมืองเดือดร้อนเป็นยิ่งนัก สมัยนั้นหยูกยาก็ไม่มี นิยมใช้รักษาป้องกันด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยพระเจ้าอยู่หัวทรงพระวิตกกังวลมากเพราะไม่มีวิธีใดจะช่วยรักษาและป้องกันโรคนี้ได้ ทรงระลึกถึงพระราชมุนีฯ มีรับสั่งให้อำมาตย์ไปนิมนต์ท่านเจ้าเฝ้า ท่านได้ช่วยไว้อีกครั้งโดยรำลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัยและดวงแก้ววิเศษ แล้วทำน้ำพระพุทธมนต์ประพรมแก่ประชาชนทั่วทั้งพระนคร โรคห่าก็หายขาดด้วยอำนาจ คุณความดีและคุณธรรมอันสูงส่ง ทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงเลื่อนสมณศักดิ์ท่านขึ้นเป็นพระสังฆราชมีนามว่า พระสังฆราชคูรูปาจารย์ และทรงพอพระราชหฤทัยในองค์ท่านเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทรงมีรับสั่งว่า หากสมเด็จเจ้าฯ ประสงค์สิ่งใด หรือจะบูรณะวัดวาอารามใดๆ ข้าพเจ้าจะอุปถัมภ์ทุกประการ
กลับสู่ถิ่นฐาน
ครั้นกาลเวลาล่วงไปหลายปี สมเด็จเจ้าฯได้เข้าเฝ้า ถวายพระพรทูลลาจะกลับภูมิลำเนาเดิม พระองค์ทรงอาลัยมาก ไม่กล้าทัดทานเพียงแต่ตรัสว่า สมเด็จอย่าละทิ้งโยม แล้วเสด็จมาส่งสมเด็จเจ้าฯ จนสิ้นเขตพระนครศรีอยุธยา
ขณะที่ท่านรุกขมูลธุดงค์ สมเด็จเจ้าฯ ได้เผยแผ่ธรรมะไปด้วยตามเส้นทาง ผ่านที่ไหนมีผู้เจ็บป่วยก็ทำการรักษาให้ ตามแนวทางที่ท่านเดินพักแรมที่ใดนั้น ที่นั่นก็เกิดเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนในถิ่นนั้นได้ทำการเคารพสักการะบูชามาถึงบัดนี้ ได้แก่ที่บ้านโกฏิ อำเภอปากพนัง ที่หัวลำภูใหญ่ อำเภอหัวไทร และอีกหลายแห่ง
สมเด็จเจ้าพะโคะ
ต่อจากนั้น ท่านก็ได้ธุดงค์ไปจนถึงวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะ อันเป็นจุดหมายปลายทาง ประชาชนต่างซึ่งชื่นชมยินดีแซ่ซ้องสาธุการต้อนรับท่านเป็นการใหญ่ และได้พร้อมกันถวายนามท่านว่า สมเด็จเจ้าพะโคะ และเรียกชื่อวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะว่า วัดพะโคะ มาจนบัดนี้ สมเด็จเจ้าฯ เห็นวัดพระโคะเสื่อมโทรมมาก เนื่องจากถูกข้าศึกทำลายโจรกรรม มีสภาพเหมือนวัดร้างสมเด็จเจ้าฯ กับท่านอาจารย์จวง คิดจะบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพะโคะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ ยินดีและอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง โปรดให้นายช่างผู้ชำนาญ 500 คน และทรงพระราชทานสิ่งของต่างๆ และเงินตราเพื่อการนี้เป็นจำนวนมาก ใช้เวลาประมาณ 3 ปี จึงแล้วเสร็จ สิ่งสำคัญในวัดพะโคะหรือ พระสุวรรณมาลิกเจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งพระอรหันต์นามว่าพระมหาอโนมทัสสีได้เป็นผู้เดินทางไปอัญเชิญมาจากประเทศอินเดียสมเด็จเจ้าฯ ได้จำพรรษาเผยแผ่ธรรมที่วัดพะโคะอยู่หลายพรรษา
เหยียบน้ำทะเลจืด
ขณะที่สมเด็จเจ้าฯ จำพรรษาอยู่ ณ วัดพะโคะ ครั้งนี้คาดคะเนว่า ท่านมีอายุกาลถึง 80 ปีเศษ อยู่มาวันหนึ่งท่านถือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวไม้เท้านี้มีลักษณะคดไปมาเป็น 3 คด ชาวบ้านเรียกว่า ไม้เท้า 3 คด ท่านออกจากวัดมุ่งหน้าเดินไปยังชายฝั่งทะเลจีน ขณะที่ท่านเดินพักผ่อนรับอากาศทะเลอยู่นั้น ได้มีเรือโจรสลัดจีนแล่นเลียบชายฝั่งมา พวกโจรจีนเห็นท่านเดินอยู่คิดเห็นว่าท่านเป็นคนประหลาดเพราะท่านครองสมณเพศ พวกโจรจึงแวะเรือเทียบฝั่งจับท่านลงเรือไป เมื่อเรือโจรจีนออกจากฝั่งไม่นาน เหตุมหัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น คือ เรือลำนั้นแล่นต่อไปไม่ได้ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ พวกโจรจีนพยายามแก้ไขจนหมดความสามารถเรือก็ยังไม่เคลื่อน จึงได้จอดเรือนิ่งอยู่ ณ ที่นั้นเป็นเวลาหลายวันหลายคืน ในที่สุดน้ำจืดที่นำมาบริโภคในเรือก็หมดสิ้น จึงขาดน้ำจืดดื่มและหุงต้มอาหารพากันเดือดร้อนกระวนกระวายด้วยกระหายน้ำเป็นอย่างมาก สมเด็จเจ้าฯ ท่านเห็นเหตุการณ์ความเดือดร้อนของพวกโจรถึงขั้นที่สุดแล้ว ท่านจึงเหยียบกราบเรือให้ตะแคงต่ำลงแล้วยื่นเท้าเหยียบลงบนผิวน้ำทะเลทั้งนี้ย่อมไม่พ้นความสังเกตของพวกโจรจีนไปได้
เมื่อท่านยกเท้าขึ้นจากพื้นน้ำทะเลแล้วก็สั่งให้พวกโจรตักน้ำตรงนั้นมาดื่มชิมดู พวกโจรจีนแม้จะไม่เชื่อก็จำเป็นต้องลองเพราะไม่มีทางใดจะช่วยตัวเองได้แล้ว แต่ได้ปรากฏว่าน้ำทะเลเค็มจัดที่ตรงนั้นแปรสภาพเป็นน้ำจืดเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก พวกโจรจีนได้เห็นประจักษ์ในคุณอภินิหารของท่านเช่นนั้น ก็พากันหวาดเกรงภัยที่จะเกิดแก่พวกเขาต่อไป จึงได้พากันกราบไหว้ขอขมาโทษแล้วนำท่านล่องเรือส่งกลับขึ้นฝั่งต่อไป
เมื่อสมเด็จเจ้าฯ ขึ้นจากเรือเดินกลับวัด ถึงที่แห่งหนึ่งท่านหยุดพักเหนื่อย ได้เอา ไม้เท้า 3 คด พิงไว้กับต้นยางสองต้นอันยืนต้นคู่เคียงกัน ต่อมาต้นยางสองต้นนั้นสูงใหญ่ขึ้น ลำต้นและกิ่งก้านสาขาเปลี่ยนไปจากสภาพเดิกกลับคดๆ งอๆ แบบเดียวกับรูปไม้เท้าทั้งสองต้น ประชาชนในถิ่นนั้นเรียกว่าต้นยางไม้เท้า ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งปรากฏอยู่ถึงทุกวันนี้
สมเด็จเจ้าพะโคะหรือหลวงปู่ทวดครองสมณเพศและจำพรรษาอยู่ที่วัดพะโคะ เป็นที่พึ่งของประชาราษฎร์มีความร่มเย็นเป็นสุข ได้ช่วยการเจ็บไข้ได้ทุกข์ บำรุงสุข เทศนาสั่งสอนธรรมของพระพุทธองค์ ประดุจร่มโพธิ์ร่มไทรของปวงพุทธศาสนิกชนตลอดมา
สังขารธรรม
หลังจากนั้นหลายพรรษา สมเด็จเจ้าฯ หายไปจากวัดพะโคะเที่ยวจาริกเผยแผ่ธรรมะไปหลายแห่ง จากหลักฐานทราบว่าท่านได้ไปพำนักที่เมืองไทรบุรี ชาวบ้านเรียกท่านว่า ท่านลังกา และได้ไปพำนักที่วัดช้างไห้ ชาวบ้านเรียกท่านว่า ท่านช้างให้ ดังนี้ ท่านได้สั่งแก่ศิษย์ว่าหากท่านมรณภาพเมื่อใด ขอให้ช่วยกันจัดการหามศพไปทำการฌาปนกิจ ณ วัดช้างให้ด้วย ขณะหามศพพักแรมนั้น ณ ที่ใดน้ำเหลืองไหลลงสู่พื้นดิน ที่ตรงนั้นให้เอาเสาไม้แก่นปักหมายไว้ต่อไปข้างหน้าจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่มาไม่นานเท่าไร ท่านก็ได้มรณภาพลงด้วยโรคชรา ปวงศาสนิกก็นำพระศพมาไว้ที่วัดช้างให้ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี สถานที่ที่สมเด็จเจ้าฯ เคยพำนักอยู่ หรือไปมา นับได้ดังนี้ วัดกุฎิหลวง วัดสีหยัง วัดเสมาเมือง นครศรีธรรมราช กรุงศรีอยุธยา วัดพะโคะ วัดเกาะใหญ่ วัดในไทรบุรี และวัดช้างให้
ปัจฉิมภาค
สมเด็จเจ้าฯ ในฐานะพระโพธิสัตว์หน่อพระพุทธภูมิ ผู้ทรงศีลวิสุทธิทรงธรรมและปัญญาญาณอันล้ำเลิศ กอปรด้วยกฤษดาภินิหารและปาฏิหาริย์ไม่ว่าท่านจะพำนักอยู่สถานที่ใด ที่นั่นจะเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไม่ว่าท่านจะจาริกไป ณ ที่ใด ก็จะมีคนกราบไหว้ฟังธรรม หลักการปฏิบัติของท่านเป็นหลักสำคัญของพระโพธิสัตว์คือช่วยเหลือประชาชนและเผยแพร่ธรรมะให้ชาวโลกอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มีความเคารพเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ สมดังคำว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ตลอดไป
โดยคุณ
nipat1961
(
125
)
(
5
)
[ศ. 21 เม.ย. 2560 - 08:56 น.] #3808135 (7/7)
สุดยอดจริงๆๆๆๆๆๆ
!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!
Copyright ©G-PRA.COM
www1