(D) ประวัติวัดบึง พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ...และ ภาพเจดีย์ ที่รอการบูรณะ
ประวัติวัดบึง พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ
ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา 30000
วัดบึง ได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯยกให้เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2539 ตรงกับวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 9 ปีชวด อัฎฐศกตกอยู่ในวสันตฤดู ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2539 และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 113 ตอนที่ 74 ข. วันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2539
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ผู้ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างเมืองนครราชสีมาขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมื่อประมาณ พ.ศ. 2199 พระองค์ได้ทรงเลือกสถานที่ในการสร้างหัวเมืองใหม่จึงทรงเลือกสร้างเมืองนครราชสีมา ทรงโปรดเกล้าฯให้ช่างชาวฝรั่งเศสเขียนแบบแปลนก่อสร้างผังเมืองเป็นรูปกลองชัยเภรี พื้นที่ตัวเมืองเก่ามีเนื้อที่ประมาณ 1000 ไร่เศษ มีคูคลอง
น้ำล้อมรอบกำแพงเมือง เพื่อป้องกันข้าศึก มีกำแพงประตูเมือง 4 ประตู คือ ประตูชุมพล ประตูพลแสน ประตูพลล้าน และประตูไชยณรงค์ (หรือประตูผี) และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นภายในกำแพงเมืองเก่า 6 วัด คือ วัดกลางนคร ต่อมาเปลี่ยนชื่อวัดเป็นวัดพระนารายณ์มหาราช, วัดบึง, วัดพายัพ, วัดอิสาน, วัดบูรพ์ และวัดสระแก้ว
วัดบึง เป็นวัดโบราณที่มีความเก่าแก่ มีความสำคัญคู่บ้านคู่เมืองของชาวจังหวัดนครราชสีมา หลังจากที่มีการสร้างเมืองนครราชสีมาเสร็จแล้ว จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดบึงขึ้น เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2220 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2230 ลงทะเบียนวัดอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ภาค 11 สังกัดมหานิกาย
ตำแหน่งที่ตั้ง ตั้งอยู่ในเขตกำแพงเมืองนครราชสีมา เลขที่ 82 ถนนจอมพล ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา มีเนื้อที่ 16 ไร่ 68 ตารางวา ตามโฉนดที่ดิน 694 เล่ม 7 หน้า 94 อำเภอเมืองนครราชสีมา พ.ศ. 2481 ทิศเหนือติดถนนจอมพล ทิศใต้ติดถนนมหาดไทย ทิศตะวันออกติดสถานีกาชาด และทิศตะวันตกติดที่ดินเอกชน
พระอุโบสถวัดบึง สร้างด้วยการก่ออิฐถือปูนแบบโบราณ ขนาดกว้าง 12.15 เมตร ยาว 22 เมตร สูง 30 เมตร หลังคาลาด 4 ชั้น ฐานมีลวดลายบัวโค้งเป็นฐานสำเภา เรียกตามภาษาช่างว่า โค้งปากตะเภา มีองค์ประกอบครบถ้วนที่ทรงคุณค่าทางด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม ดังนี้
ด้านสถาปัตยกรรม คือ มีการออกแบบให้มีลักษณะพระอุโบสถสร้างเป็นรูปทรงเรือสำเภา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ศิลปของสมัยอยุธยา
ด้านศิลปกรรม คือ มีการตกแต่งพระอุโบสถให้มีความสวยงาม ได้แก่ ช่อฟ้าแบบปากหงส์ ใบระกานาคสะดุ้ง ส่วนหน้าบันด้านทิศตะวันออกแกะสลักไม้เป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณรอบข้างเป็นลายก้านขดลงลักปิดทอง หน้าบันด้านทิศตะวันตกแกะสลักไม้เป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑรอบข้างเป็นลายก้านขดลงลักปิดทอง คันทวยแกะสลักไม้เป็นรูปหัวพญานาคหางหงส์ มีหน้าที่ค้ำยันชายหลังคา ใบเสมาเป็นใบเสมาคู่ ประดิษฐานอยู่บนฐาน ซึ่งตอนล่างเป็นฐานสิงห์ ตอนบนเป็นบัวเกสร เป็นใบเสมาที่มี
รูปแบบ-ลักษณะร่วมหรือคล้ายกับใบเสมาในภาคกลางของประเทศไทย ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 19-20 ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าวัดใดที่มีใบเสมาเป็นคู่ เป็นวัดที่พระมหากษัตริย์ในสมัยนั้นได้ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างและรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์
ภายในพระอุโบสถ เพดานตีด้วยไม้แผ่นทาสี มีเสากลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เมตร เป็นเสากลม บัวหัวเสาเป็นรูปบัวจงกล จำนวน 6 คู่ รวม 12 ต้น ปูพื้นด้วยหินอ่อน
พระประธาน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย สมัยอู่ทอง ขนาดหน้าตักกว้าง 6 ศอก ประทับนั่งขัดสมาธิราบ พระหัตถ์แสดงปางมารวิชัย พระพักตร์ค่อนข้างเป็นรูปสี่เหลี่ยม ลงรักปิดทอง เป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะศิลปกรรมสมัยอยุธยาตอนปลายถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีพระนามตามที่ชาวบ้านเรียกท่านว่า “หลวงพ่ออู่เงินอู่ทอง” ซึ่งมีความศักดิ์มาก
พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร เป็นพระพุทธรูปศิลปกรรมสมัยลพบุรี สูง 62 นิ้ว ประดิษฐานอยู่รอบองค์พระประธาน จำนวน 6 องค์
พระพุทธรูปปางนาคปรก เป็นพระพุทธรูปศิลปกรรมสมัยลพบุรี ขนาดหน้าตักกว้าง 19 นิ้ว สูง 3 ฟุต 4 นิ้ว ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ จำนวน 1 องค์
เจดีย์ สร้างด้วยการก่ออิฐถือปูน สร้างพร้อมกับพระอุโบสถและพระประธาน มีขนาดกว้าง-ยาว 10 เมตร สูง 25 เมตร ฐานสูง 3 เมตร มีรูปปั้นสิงห์คู่ประดับอยู่ทางด้านหน้าทางทิศตะวันออกเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ประวัติเจ้าอาวาสวัดบึง www.watbuengkorat.in.th |
|