ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : *กรรม ... * กิเลส ... * บทความที่นักสะสม และนักแสวงโชค ในแวดวงพระเครื่อง .....

(N)
*กรรม ... * กิเลส ... * บทความที่นักสะสม และนักแสวงโชค ในแวดวงพระเครื่อง ..... น่าจะใช้เป็นเครื่องนำทางได้บ้าง

ลองมาดูบทความที่ว่านี้กันครับ


โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:39 น.]



โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:40 น.] #2992117 (1/54)
กรรมคืออะไร?

เรามักจะพูดถึงคำว่า กรรม อยู่เสมอ ส่วนมากมักจะพูดถึงในทางไม่ดี เช่น เคราะห์กรรม สุดแต่บุญกรรม และมักจะยอมรับและเข้าใจกันเรื่องกรรม จนพูดกันเสมอว่า ทำความดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่มีศาสนาใดให้ความสำคัญเรื่องกรรมมากเท่าศาสนาพุทธ เป็นหัวใจของสัจธรรมข้อหนึ่ง แม้ว่าความเชื่อเรื่องกรรมนี้มีอยู่ ในลัทธิศาสนาอื่นก่อนพุทธศาสนา เช่น พราหมณ์หรือฮินดู แต่ความหมายและรายละเอียดแตกต่างกัน พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตนเอง
รับมรดกหรือผลแห่งกรรมนั้น
มีกรรมเป็นกำเนิด
มีกรรมเป็นพวกพ้องเผ่าพันธุ์
มีกรรมเป็นที่อาศัย
ทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลอันนั้น
ไม่ว่าดีว่าชั่ว
จักต้องได้ผลแห่งกรรมนั้นแน่นอน
กรรมไม่ได้หมายถึง การกระทำ เพียงเท่านั้นแต่จะต้องมี เจตนา ของการกระทำนั้นด้วย จึงจะครบความหมายของกรรมในพุทธศาสนา ถ้าไม่มีเจตนาไม่เรียกว่ากรรม ตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราขอบอกว่าเจตนาคือกรรม เมื่อมีเจตนาแล้ว คนเราก็ลงมือกระทำการด้วยกายด้วยวาจาและด้วยใจ

.

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:41 น.] #2992120 (2/54)
เรื่องกรรมนี้มีความละเอียดลึกซึ้ง เพราะยังได้แบ่งตามทางที่กระทำได้ 3 ทาง คือ กายกรรม ได้แก่ การกระทำทางกาย เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม วจีกรรม ได้แก่ กระทำทางพูดจา ได้แก่ พูดเท็จ พูดหยาบ พูดส่อเสียด และพูดเพ้อเจ้อ และมโนกรรม คือกรรมที่เกิดจากความคิด ได้แก่ โลภ โกรธ หลง ซึ่งข้อท้ายนี้มีความสำคัญ เพราะถ้าทำร้ายคนหรือสัตว์ ทุกคนรู้ว่าเป็นบาปกรรม แต่การคิดร้ายอยู่ในใจแท้ๆไม่มีใครรู้ ไม่น่ามีข้อเสียอะไรแต่ทางพุทธศาสนาก็ถือว่าเป็นกรรม

นอกจากการแบ่งกรรมตามวิธีของการกระทำแล้ว แต่แบ่งตามประเภทหรือผลของกรรมได้แก่ กรรมดี (กุศลกรรม) และกรรมชั่ว (อกุศลกรรม) เมื่อมีการกระทำก็จะทำให้เกิด ผล ที่เรียก วิบากกรรม หรือบางคนเรียกสั้นๆว่า วิบาก เช่นเดียวกับการหว่านเมล็ดพืชย่อมได้ผลตามพืชที่หว่าน หรือเปรียบเหมือนรอยล้อเกวียนตามรอยเท้าโคไปตลอดฉนั้น แต่ไม่ว่าจะเกิดผลอย่างดีหรือเลว มนุษย์เราก็จะยังเกิดความต้องการหรือทะยานอยากขึ้นมาใหม่ จึงทำกรรมต่อไปใหม่ เป็นกระบวนการต่อเนื่อง เป็นเหตุและผล ซึ่งไม่ใช่เกิดจากพระผู้เป็นเจ้า หรือพระพรหมเป็นผู้กำหนด อย่างที่นิยมเรียกว่า พรหมลิขิต แต่ศาสนาพุทธถือว่า ตนลิขิต หรือ เราลิขิต หรืออาจเรียกว่า กรรมลิขิต เหตุที่ทำให้คนไม่ค่อยกลัวในการทำกรรมชั่วก็เพราะผลของกรรมอันนั้น บางอันไม่ได้เกิดทันทีที่กระทำหรืออาจเห็นผลไม่ทันในชาตินี้ หรือบางทีผลของกรรมเกิดขึ้นเจ้าตัวไม่รู้หรือไม่สามารถเอาไปเกี่ยวเนื่องกับกรรมที่ทำไป ซึ่งการทำกรรมและเกิดวิบากนี้ตรงกับหลักทางวิทยาศาสตร์ที่เรารู้ในปัจจุบัน คือ Action คือการกระทำใดๆทำให้เกิด Reaction คือปฏิกริยาตอบโต้ในรูปแบบต่างๆ เพียงแต่ทางพุทธศาสนาลึกซึ้งมากกว่าทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น
.

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:41 น.] #2992121 (3/54)
กรรมนี้เป็นสิ่งเฉพาะตน ทางพุทธศาสนาถือว่าจะทำแทนกันหรือรับกรรมแทนกันไม่ได้ ถ้าทำบาปจะให้พระถ่ายบาปให้ก็ไม่ได้ จะขอให้พระเจ้า พระพรหมฯ ยกโทษหรือยกเว้นกรรมให้ก็ไม่ได้ ซึ่งต่างจากความเชื่อในศาสนาอื่นที่เชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าจะเป็นผู้ตัดสินลงโทษหรือยกโทษให้ บางศาสนามีวันพิพากษา แต่ทางพุทธศาสนาให้มีการอโหสิกรรมกันได้ระหว่างผู้ทำกรรมไว้ต่อกันเท่านั้น แต่จะต้องเป็นการตกลงกันทั้งสองฝ่าย เราได้รับการสอนให้สวดมนต์ และแผ่เมตตาแก่สัตว์โลก และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขออโหสิให้แก่ผู้ทำกรรมต่อเรา และขอให้ผู้ที่เราก่อกรรมไว้ได้อโหสิต่อเรา ซึ่งจะเป็นการตัดบ่วงกรรม คือให้ผลของกรรมยุติลง มิฉะนั้นกรรมนั้นจะหมุนเวียนกันต่อไปไม่รู้จบ แต่ยังมีกรรมบางชนิดที่จะยกโทษหรืออโหสิกรรมกันไม่ได้ที่เรียกว่า อนันตริยกรรม ซึ่งเป็นกรรมที่รุนแรงที่สุดได้แก่ การฆ่าบิดามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายต่อพระพุทธองค์จนห้อพระโลหิต และยุแยงสงฆ์ให้แตกกัน ซึ่งในยุคปัจจุบันและอนาคตจะต้องระวังข้อสุดท้ายนี้ให้มากที่สุด เพราะมีความโน้มเอียงให้เกิดได้เสมอ ไม่ว่าจะเกิดจากเจตนาหรือความรู้เท่าไม่ถึงการก็ตาม
.

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:42 น.] #2992123 (4/54)
ทำกรรมดีไม่ได้ดี

มีคนพูดกันเสมอว่า ทำกรรมดีไม่ได้ผลดี เพราะตนเองได้พยายามทำดีแล้ว แต่กลับเป็นทุกข์ไม่ได้รับความสุขหรือได้สิ่งที่ต้องการ คนบางคนพูดว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ที่เป็นเช่นนี้เพราะไม่เข้าใจสัจธรรมของการเวียนว่ายตายเกิดว่า ชีวิตของเราในปัจจุบันนี้เป็นเพียงจุดเล็กๆจุดเดียว ในระยะทางอันยาวไกล กรรมดีกรรมชั่วที่ทำไว้แต่ละชาติแต่ละภพ มีการสะสมเก็บไว้เพื่อเกิดผลในภายหน้าไม่มีที่สิ้นสุด และจะไม่มีการหักกลบลบหนี้กันระหว่างกรรมดีและกรรมชั่วที่ทำ ดังนั้น สิ่งที่ตัวทำดีไว้ยังไม่ออกผลแต่กรรมชั่วนี้ทำมาก่อนที่ได้มาแสดงผลแล้ว จึงทำให้ ทำดีได้ชั่ว และในทำนองกลับกันเห็นคนบางคนเป็นคนเลวทำแต่ความชั่ว คอรัปชั่น กินบ้านกินเมือง แต่ได้เป็นรัฐมนตรี จึงเกิดคำพูดที่ว่า ทำชั่วได้ดีมีถมไป ซึ่งเป็นสิ่งที่เรารู้เห็นกันอยู่ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะทำชั่วแล้วได้ดีแต่เป็นเพราะกรรมดีเก่ายังให้ผลอยู่ แต่จะไม่เป็นเช่นนี้ตลอดไปกรรมมีความยุติธรรมเสมอเพียงแต่จะต้องรอเวลาและดูผลรวม

.

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:43 น.] #2992126 (5/54)
ทางศาสนาสอนไว้ว่า การทำดีแล้วจะได้ดีตอบนั้นจะต้องพร้อมด้วยสมบัติ 4 ประการ คือ

มีคติสมบัติ คือการดำเนินชีวิตที่ดี สิ่งแวดล้อมที่ดีหนึ่ง

มีอุปธิสมบัติ คือมีร่างกายสมบูรณ์ดีหนึ่ง

มีกาลสมบัติ คือมีกาลเวลาที่ถูกต้องหนึ่ง

มีปโยคะสมบัติ คือมีการทำดีโดยสมบูรณ์ไม่บกพร่อง

ดังนั้น ผู้ที่รู้สึกว่าตนเองทำดีไม่ได้ดี ก็พึงพิจารณาว่าตนเองมีสมบัติทั้ง 4 นี้พร้อมแล้วหรือไม่ โดยเฉพาะกาลสมบัติ

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:44 น.] #2992128 (6/54)
เรื่องของกรรมเป็นเรื่องใหญ่แต่ละเอียดอ่อน หลักธรรม 84000 พระธรรมขันธ์นั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับกรรม เพราะเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับคนส่วนใหญ่ กรรมแรกที่ทำให้คนตายแล้วเกิดเรียกว่า ชนกกรรม ซึ่งเป็นตัวจำแนกให้เกิดในภพภูมิต่างๆกัน และถ้าเกิดเป็นมนุษย์ชนกกรรมจะเป็นตัวนำให้คนเกิดแตกต่างกัน สำหรับกรรมที่จะมีผลต่อชีวิตข้างหน้านั้น แยกได้สุดแต่ชนิดของกรรม คือ ครุกรรม หรือกรรมหนัก มีอำนาจเหนือกรรมใดๆทั้งสิ้นมีทั้งฝ่ายชั่วอย่างหนัก ฝ่ายดี เช่นการทำกุศลบารมี การทำฌาน ซึ่งจะนำไปเกิดสูงแน่นอน ส่วนกรรมฝ่ายชั่วอย่างหนัก ได้แก่การทำร้ายอรหันต์ การฆ่าพ่อแม่และสังฆเภท หรือยุแยงสงฆ์ให้แตกกันมีแต่ตกนรกอย่างเดียว รองลงมาคืออาสันนกรรม หรือกรรมที่ทำใกล้ตายจะมีผลต่อการเกิดในชาติหน้า ทุกศาสนาจึงให้นึกถึงคุณพระคุณเจ้า ฟังพระสวดมนต์ในเวลาจะสิ้นใจ เป็นต้น แต่ทั้งนี้ก็สุดแต่จิตขณะดับยึดกับสิ่งนี้อยู่หรือไม่ ถ้าอยู่ได้ก็ได้ไปดี ต่อจากนั้นคือ อาจิณณกรรม คือ กรรมที่กระทำสม่ำเสมอ ถึงแม้มีน้ำหนักมาก แต่มีอิทธิพลต่ำกว่าในการสร้างภพใหม่ ซึ่งมีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว เช่น คนฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่ทุกวัน แล้วเวลาอาสัณณกรรมจะให้นึกถึงพระคงเป็นไปได้ยาก คงจะต้องนึกถึงสิ่งที่ทำเสมอ และกรรมที่มีผลน้อยที่สุด คือ กตัตตากรรม คือกรรมเล็กน้อย ดังนั้นในเวลาที่คนจะสิ้นลมจึงมีความสำคัญ ต้องทำจิตให้กุศลเข้ามาหานึกถึงแต่สิ่งดีๆที่เป็นกุศลเพื่อให้เป็นชนกกรรมนำไปสร้างภพสร้างชาติที่ดีต่อไป
.

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:44 น.] #2992129 (7/54)
เคยมีผู้สงสัยว่าแก้กรรมได้หรือไม่ เพราะมีคนไปทำพิธีแก้กรรมกัน คำตอบคงจะมีได้ทั้งได้และไม่ได้ที่ไม่ได้คือ อนันตริยกรรมดังกล่าวแล้วอย่างหนึ่ง และคู่กรรมเขาไม่อโหสิกรรมให้อีกอย่างหนึ่ง แก้อย่างไรก็ไม่ได้ มีตัวอย่างว่าแม้แต่พระพุทธเองเคยเสด็จไปห้ามทัพพระเจ้าวิฑูฑภะ โอรสของพระเจ้าปเสนทิโกศล ซึ่งมีความแค้นต่อผู้ที่อยู่ในศากยวงศ์ของพระพุทธเจ้าเอง ทรงห้ามสำเร็จถึง 2 ครั้ง แต่เมื่อพระเจ้าวิฑูฑภะยกทัพมาเป็นครั้งที่ 3 พระพุทธองค์ไม่เสด็จไปห้าม ศากยวงศ์ถูกฆ่าทั้งเมือง พระอานนท์สงสัยจึงทูลถาม พระพุทธองค์จึงตรัสเล่าว่าความแค้นและกรรมทั้งสองฝ่ายนี้เขามีกันมาก่อน เมื่อชาติก่อนผู้ที่อยู่ในศากยวงศ์ได้เอายาพิษโรยต้นน้ำ ทำให้บรรดาพวกที่ชาตินี้เป็นพระเจ้าวิฑูฑภะตายทั้งเมือง แต่ด้วยกรรมที่ทำทำให้กองทัพที่ได้ชัยชนะมาแล้วมาตั้งอยู่ริมแม่น้ำถูกพายุฝนน้ำท่วมพัดเสียชีวิตเกือบหมด เป็นตัวอย่าง อย่างไรก็ดีเนื่องจากเราไม่รู้ว่าเคยทำบาปทำกรรมอะไรบ้าง ดังนั้นตั้งใจแต่ทำกรรมดีและเวลาทำบุญกุศลครั้งใดก็ได้ตั้งจิตแผ่กุศลนั้นให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายและสัตว์ทั้งหลายโดยไม่มีประมาณให้เขา ส่วนเขาจะอโหสิให้หรือไม่ก็เป็นเรื่องของวิบากที่เราต้องรับอยู่แล้ว
.

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:45 น.] #2992130 (8/54)
กิเลสคืออะไร?

ในบรรดาสัจธรรมที่เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ กิเลส เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่ง คนทั่วไปพูดถึงคำว่ากิเลสเสมอ แต่มักจะเข้าใจไม่ถ่องแท้ถึงความหมายของ กิเลส ส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นสิ่งไม่ดี คำว่ากิเลสทางพุทธศาสนามีความกว้างขวางลึกซึ้ง และถือว่ามีความสำคัญใหญ่หลวงต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ จึงควรทำความเข้าใจให้ดี ได้มีผู้จำแนกกิเลสออกได้ถึง 1,500 อย่าง แต่เมื่อรวบรวมเข้าเป็นกลุ่มแล้ว ย่อได้เพียง 5 อย่าง คือ โลภะ โทษะ โมหะ มานะ และทิษฐิ แต่ที่คนทั่วๆไปพูดถึงเพียง 3 ข้อแรก คือ โลภ โกรธ และหลง

ในทางศาสนา กิเลสหมายถึงเครื่องเศร้าหมอง อันประกอบด้วย ตัณหา อุปาทาน และอวิชา ซึ่งเป็นหัวข้อสำคัญในหลักธรรมที่สำคัญคือ ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้เกี่ยวกับเหตุและหนทางที่จะพ้นทุกข์ อันเป็นเรื่องใหญ่แต่จะขอนำมาเขียนไว้พอเป็นสังเขปตามลำดับ

.

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:45 น.] #2992134 (9/54)
ตัณหา เป็นคำที่ฟังดูไม่ดีและเอียงไปทางด้านเกี่ยวกับทางเพศ เช่น ตัณหากลับ หรือมากตัณหา แต่ความหมายทางศาสนากว้างขวางกว่านี้มาก หมายถึง ความทะยานอยากได้ในสิ่งที่เกินกว่าธรรมชาติ ตัวอย่างที่พอเข้าใจได้ง่ายๆ เช่น ถ้าคนหิวข้าวอยากกินข้าวตามธรรมดา พอให้หายหิว ไม่เป็นตัณหา ถ้าอยากกินอาหารตามเหลาดีๆเป็นตัณหา

ในสังคมปัจจุบันมีปัจจัยส่งเสริมให้คนมีตัณหามากขึ้นกว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน ซึ่งคนส่วนใหญ่ยังอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และไม่มีข่าวสารทางโลกเข้ามาโน้มนำมากนัก ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีอินเตอร์เนท ดังนั้นความทะยานอยากได้สิ่งต่างๆจึงมีไม่มาก แต่ในปัจจุบันไม่ว่าจะอยู่ในมุมไหนของประเทศ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ ก็ติดตามไปถึง เรียกว่าอยู่ในโลกของข่าวสารข้อมูล คนอยู่ชนบทดูโทรทัศน์เห็นนางเอกบ้านสวยในละครก็อยากมี เบื่อบ้านหลังคามุงแฝกหรือมุงสังกะสี เห็นพระเอกมีรถยนต์หรูหราก็อยากได้ ทั้งๆที่เงินจะซื้อจักรยานยนต์ก็ยังไม่มี คนในเมืองก็อยากได้สิ่งที่ตนเองยังไม่มี ดังนั้นความเจริญของโลกเป็นเหตุกระตุ้นให้คนเกิดตัณหามากขึ้น

.

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:46 น.] #2992135 (10/54)
ตัณหานี้แต่ละคนมีไม่เท่าเทียมกัน และเกิดขึ้นตามช่วงต่างๆของชีวิต ได้แก่ ตัณหาที่มีมาตั้งแต่เกิดติดมากับปฏิสนธิวิญญาณ รู้จักหิว อยากดื่ม อยากกินสิ่งที่ชอบ เมื่อคนเจริญเติบโตขึ้นได้รู้เห็นกับสิ่งเร้าต่างๆได้แก่ รูปรสกลิ่นเสียง ทำให้เกิดตัณหามากขึ้น แต่ละคนมีมากน้อยไม่เท่ากัน ถ้าผู้ใดยังคุมตัณหาให้อยู่ในความพอดีก็จะไม่เป็นปัญหา ไม่เป็นทุกข์ แต่ถ้าระงับไม่ได้ก็จะทำให้เกิดความผิดต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งการผิดศีลข้อต่างๆ ทำให้เกิดการปฏิบัติในทางมิชอบทั้งกาย วาจา และใจ

ถึงแม้ตัณหาเป็นธรรมชาติฝ่ายอกุศลแต่เมื่อมองอีกมุมหนึ่ง ตัณหาก็มีส่วนดี และเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนที่จะต้องมี จะตัดออกไปไม่ได้ (นอกจากอริยบุคคล) จึงไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป เพราะตัณหาที่อยากทำดีก็มีมาก และเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าของตนเองและสังคม แม้แต่ผู้รักษาศีลทำบุญทำทานภาวนา ก็เพื่อหวังผลในชาติหน้าหรือหวังนิพพาน ซึ่งนับเป็นตัณหาอย่างหนึ่ง ความสำคัญของการดำรงตนของมนุษย์ก็คือการคุมระดับตัณหาให้อยู่ในความพอดี

.

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:47 น.] #2992138 (11/54)
ตัณหามีตัวเร้าอยู่ 6 ประการ คือความอยากเกี่ยวกับ รูป (รูปตัณหา) รส (รสตัณหา) กลิ่น (คันธตัณหา) เสียง (สัททตัณหา) สัมผัส (โผฏฐัพพตัณหา) และความอยากเสพอารมณ์ (ธัมมตัณหา) จึงเรียกตัณหา 6 และแต่ละอย่างสามารถแยกออกไปอีก 3 อาการ คือ

1. กามตัณหา คือ ความทะยานอยากได้ ของตัณหา 6 ประการ ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ เช่น อยากได้ของสวยที่ตนไม่มีสิทธิได้ อยากรับทานอาหารทิพย์ อยากได้กลิ่นหอมของเทวดา อยากฟังเสียงจากสวรรค์ อยากมีรูปงามอย่างนางฟ้า อยากมีบ้านสวย ทำให้ไม่รู้จักพอ เป็นต้น

2. ภวตัณหา คือ ความทะยานอยากเป็น อยากมี หรืออยากให้อยู่ เช่น อยากเป็นนายกรัฐมนตรี อยากเป็นเจ้า อยากเป็นดารา นักร้อง จนถึงอยากนิพพาน ก็นับเป็นตัณหา

3. วิภวตัณหา คือ ความทะยานอยากไม่ให้เป็น ไม่ให้อยู่ หรือให้พ้นไป ของสิ่งที่สมควรจะเป็น เช่น ไม่อยากแก่ ไม่อยากตาย ไม่อยากให้สิ่งที่มีอยู่หมดสิ้นไป หรือเชื่อว่าตายแล้วสูญไม่เกิดอีก ในความเป็นจริงลักษณะของตัณหาทั้ง 3 ประการนี้ไม่ได้เกิดตามลำพังแต่เกิดต่อเนื่องกัน เช่น กามตัณหา คือ อยากได้ เมื่อได้มาแล้วก็เป็นภวตัณหา คือ อยากให้อยู่ตลอดไป แต่เมื่อเบื่อก็เกิดวิภวตัณหา คืออยากให้พ้นไปจากตน จึงรวมเรียกว่า ตัณหา 3

.

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:48 น.] #2992139 (12/54)
สรุปว่า ตัณหา 6 คือ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสและใจ ก็ย่อมมีตัณหา 3 อยู่ด้วย คือ อยากได้ อยากให้อยู่ และอยากให้พ้นไป อยู่ร่วมด้วยทุกข้อ จึงรวมเป็นตัณหา 18 ซึ่งถ้าแบ่งเป็นภายนอกและภายในจะเป็นตัณหา 36 และถ้ายังแบ่งต่อไปโดยนับกาลเวลาว่าเป็นเมื่ออดีต ปัจจุบัน และอนาคต จึงเป็นตัณหา 108 ดังนี้

ตัณหานี้แต่ละคนมีไม่เท่าเทียมกัน เพราะมี 3 ระดับ คือมีมาตั้งแต่เกิดติดมากับปฏิสนธิวิญญาณ เรียกอนุสัยกิเลส ทำให้คนเรารักตัวเอง จะมากหรือน้อยต่างกันออกไป ซึ่งเป็นธรรมดาของมนุษย์ แต่เมื่อเจริญเติบโตขึ้น กระทบกับสิ่งเร้ารูปรสกลิ่นเสียงใจ ก็เกิดตัณหามากขึ้น ซึ่งถ้ายังคุมให้อยู่ในสภาพอันควรได้ก็คงไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าคุมตัณหาไม่อยู่ทำให้เกิดการละเมิดศีลต่างๆ ทำผิดต่างๆทั้งกาย วาจา ใจ ที่เป็นขั้นสุดท้ายเรียก วีติกรรมกิเลส อาจทำบาปด้วยวิธีต่างๆจนถึงการฆ่าให้ตาย

อุปาทาน เป็นตัวกิเลสที่ต่อมาจากตัณหา คือเมื่อคนเรามีความทะยานอยากแล้วก็เกิดอุปาทานคือความหลงเชื่อผิดว่าเป็นของตน ทำให้มีการ ยึดถือ ไม่ยอมปล่อย ไม่ว่าจะเป็นยศ ศักดิ์ สรรเสริญ บริวาร ทรัพย์สมบัติ หรือรูปกายของตน จะมีอุปาทานยึดมั่นว่าเป็นของตนทั้งสิ้น โดยลืมนึกไปว่าอย่าว่าแต่ของนอกกายเหล่านี้เลย แม้แต่ร่างกายของเรายังยึดไม่อยู่ มีป่วย มีแก่ชรา มีตาย สลายไป อุปาทานจึงเป็นกิเลสเครื่องเศร้าหมองอันหนึ่ง ซึ่งอาจแยกสาเหตุได้หลายอย่าง ได้แก่

.

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:49 น.] #2992144 (13/54)
อัตตวาทุปาทาน เป็นข้อสำคัญที่สุดคือความยึดมั่นว่าเห็นตนเองหรืออัตตาเป็นตัวเรา สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นของตนและยึดไว้ไม่ยอมปล่อย อันจะเป็นเหตุให้เกิดภพชาติต่อๆไป พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ยึดว่าทุกสิ่งเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน

กามุปาทาน ความยึดมั่นในรูปเสียงกลิ่นรสและสัมผัสและการบริโภคของที่มีที่ได้

ทิฏฐปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในความคิดเห็นของตนว่าเป็นสิ่งถูกต้องแน่นอน

สีลพัตตุปาทาน ความยึดมั่นกับศิลพรต ซึ่งมีข้อยึดถือข้อปฏิบัติต่างๆกันว่าของตนถูกต้อง ซึ่งเป็นความงมงาย

ซึ่งถ้าดูเหตุการณ์ในปัจจุบันนี้ที่เห็นคนเขาทะเลาะโต้เถียงกันอยู่ แบ่งพรรคแบ่งพวก จนถึงฆ่ากันตาย ก็เกิดจากข้อกามุปาทานกับทิฎฐปาทาน ในประเทศที่ต่างศาสนาตีกันฆ่ากันอยู่ก็จากสิลพัตตุปาทาน ต่างยึดมั่นของตน จนเกิดมีการสู้รบแย่งดินแดนกัน คนแย่งที่ดินกัน แย่งหญิงแย่งชายกัน ก็เป็นอัตตวาทุปาทานนั่นเอง ดังนั้นอุปาทานจึงเป็นกิเลสเครื่องเศร้าหมองอย่างชัดเจนดังนี้ ผู้ใดจะปฏิบัติตัวให้พ้นทุกข์ จึงต้องลดตัณหา อุปาทาน ให้บางลงมากที่สุด แต่ก็คงเป็นความจริงที่ว่าผู้ที่มีตัณหาอุปาทานน้อยมากคงจะดำรงชีวิตในสังคมมนุษย์ที่แย่งชิงแข่งขันกันทุกสิ่งได้ยาก เราคงจะต้องเดินสายกลางในการดำรงชีวิต รู้เท่าทันตัวตัณหาอุปาทานก็พอจะแก้ไขให้ได้ดีต่อตัวเรามากที่สุด
.

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:50 น.] #2992147 (14/54)
อวิชชา คือ ข้อสุดท้ายที่สำคัญที่สุดของ กิเลส แปลตามตัวหมายถึง ความไม่รู้จริงไม่รู้แจ้ง ความโง่ ความไม่รู้ทันเกี่ยวกับเรื่องของชีวิต รวมถึงความไม่ยอมรับรู้ และความรู้ผิดด้วย ซึ่งทางโลกคำว่าวิชามักจะหมายถึงผู้ที่มีการศึกษา แต่ในทางธรรมไม่ได้หมายถึงความรู้ที่ได้จากวิชาที่ได้จากการศึกษา แต่เป็นวิชาที่เกิดจากการศึกษาทางธรรมของพระพุทธองค์พระองค์เดียวและปฏิบัติทางจิตจนสามารถรู้ทันกิเลส ได้แก่ ตัณหา อุปาทาน ทำให้เบาบางลง ผู้ที่มีอวิชชาอาจจะจบปริญญาเอกจากมหาวิยาลัยที่เด่นดังที่สุดในโลก ได้เหรียญได้รางวัลต่างๆมีชื่อเสียง แต่ถ้าไม่รู้ทันตัณหา อุปาทาน รวมทั้งไม่รู้จักอริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้ว ทางธรรมก็ถือเป็นผู้ที่มีอวิชชาทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถรู้ถึงทางที่จะพ้นทุกข์ คือนิพพานได้ เพราะยังติดตัณหาอุปาทานที่จะนำให้เกิดภพเกิดชาติไปไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นเพราะความสำคัญเช่นนี้ในปฏิจจสมุปบาทจึงเริ่มต้นด้วยคำว่า อวิชชา

กิเลสข้อที่สำคัญที่สุดคือ อวิชชา คือความไม่รู้ ความไม่รู้จริง ไม่รู้แจ้ง ในเรื่องของชีวิต ของสังขาร ของบาปบุญ รู้เรื่องของการเกิดดับฯ อวิชชาทำให้เกิดกิเลสตัวอื่น คือ ตัณหา และอุปาทาน และทำนองเดียวกัน การเกิดตัณหาและอุปาทานทำให้เกิดอวิชชา อวิชชาจึงเป็นกิเลสตัวใหญ่ ถ้าแก้ความไม่รู้ได้ ก็จะไม่มีตัณหาและอุปาทาน ก็จะหมดซึ่งกิเลสทั้งปวง

.

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:51 น.] #2992151 (15/54)
ทำไม?พุทธศาสนาไม่เน้นเรื่องความสุขที่ทุกคนต้องการ


ความสุขเป็นสิ่งที่ปรารถนาของมวลมนุษย์ ทุกคนอยากมีอยากได้ อยากยึดรักษาไว้ให้นานที่สุดหรือตลอดกาล ศาสนาต่างๆจึงเน้นถึงเรื่องความสุข บางศาสนามีพิธีกรรมที่ชักนำให้เกิดความสุข เช่น การร้องเพลงในโบสถ์ มีการสวดอ้อนวอนขอสิ่งที่ต้องการ การฉลองวาระสำคัญต่างๆด้วยพิธีที่มีความสุข เช่น การให้ของขวัญแก่กัน เด็กๆจะตั้งตารอวาระสำคัญทางศาสนา นับเป็นการชักจูงให้มีศรัทธาต่อศาสนาอย่างยิ่ง

แต่เหตุใดในพุทธศาสนาไม่เน้นเรื่องความสุข แม้ในวาระสำคัญทางศาสนาต่างๆก็มุ่งในด้านให้เกิดความสงบมากกว่า เช่น การเวียนเทียน เข้าโบสถ์สวดมนต์ เพราะพุทธศาสนาถือว่า สุขเสมอด้วยความสงบไม่มี บางคนไม่เข้าใจ ความสงบ ที่พระพุทธองค์หมายถึง คือ ความเงียบ ไม่วุ่นวายไปจนถึงนิพพาน ซึ่งบางคนพบเข้ากลับมีทุกข์เพราะอยากสนุกสนาน

.

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:52 น.] #2992154 (16/54)
ความสงบ ที่พระองค์หมายถึงในด้านธรรมะไม่ใช่ทางโลก หมายถึงสงบจากจิตที่เป็นสมาธิ ไม่สอดส่ายไปข้างนอก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่ติดกิเลส ความสุขที่เกิดจากสมาธิจะเหนือกว่าความสุขทางโลก เพราะทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของภาวะแวดล้อม

พุทธศาสนามิได้ปฏิเสธความสุข เพียงแค่ชี้ให้เห็นว่าความสุขไม่จีรัง แนะนำไม่ให้คนติดยึดกับความสุข ซึ่งมีความไม่แน่นอน ไม่ยั่งยืน เป็นอนิจจัง ไม่ช้าเมื่อความสุขหายไปก็จะเกิดความทุกข์ความผิดหวัง ทำให้คนอาจทำอะไรไม่ถูกต้อง บางคนถึงกับฆ่าตัวตาย แต่ถ้าคนใดมองทุกข์เป็นหลัก เมื่อพบความสุขก็จะนึกรู้อยู่ว่าไม่ยั่งยืน เมื่อเกิดปัญหาหมดความสุขจะสามารถทนรับความทุกข์ได้ดีกว่าผู้ที่ยึดความสุขเป็นสรณะ

.

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:52 น.] #2992156 (17/54)
พุทธศาสนาได้อธิบายถึงกลไกการเกิดความสุขว่า เกิดจากสิ่งเร้าจากภายนอกมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย โดยมีใจเป็นตัวรับ โดยมีการปรุงแต่งที่เรียกว่า สังขาร ออกมาเป็นความทุกข์ ความสุข หรืออารมณ์เฉยๆ (ไม่ทุกข์ไม่สุข) จะเห็นได้ว่าสิ่งเร้าอย่างเดียวกันอาจทำให้เกิดผลต่างกัน เช่น การฟังเพลงๆหนึ่ง ในบางอารมณ์จะฟังว่าเพราะเกิดความสุข แต่ในบางอารมณ์เพลงเดียวกันนี้กลับรู้สึกว่าหนวกหูรำคาญเกิดความทุกข์ ถ้าเราพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าสุขและทุกข์อยู่ติดกันจนแยกไม่ออก ทางธรรมระบุว่า ถ้าไม่วางสุขก็ไม่พ้นทุกข์ ถ้าวางสุขทุกข์ไม่ต้องวางก็หายเอง สุขอาจเปลี่ยนเป็นทุกข์ได้ในพริบตา แต่จากทุกข์เป็นสุขเกิดช้ามาก ถ้าเปรียบสุขเป็นสีขาว ทุกข์เป็นสีดำ เอาสีดำขาวผสมลงไปตามสัดส่วนของประสบการณ์ของชีวิตจริง ผลคงออกมาเป็นดำมากหรือดำน้อยเท่านั้นไม่มีขาวเหลืออยู่ ศาสนาจึงเรียกสุขทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์นี้ว่า เวทนา ได้แก่ สุขเวทนา ทุกข์เวทนา และอทุกข์สุขเวทนา ซึ่งคำว่าเวทนาตามตัวแปลว่า ความโง่ ความน่าสงสาร ความไม่รู้แจ้ง (อวิชชา) ซึ่งเป็นปัจจัยต่อเนื่องให้เกิดตัณหา และอุปาทาน พระพุทธศาสนาจึงไม่ได้เน้นเรื่องความสุขด้วยเหตุดังข้างต้นนี้ ไม่สอนให้คนติดอยู่กับความสุขซึ่งไม่ยั่งยืนเพราะขึ้นอยู่กับการปรุงแต่ง อย่าดิ้นรนแสวงหาสุขจนเป็นทุกข์ อย่ายึดถือไว้จนเป็นทุกข์ ถ้าปรับใจตนเองได้อย่างนี้ คงจะอยู่ในโลกนี้โดยมีสุขพอประมาณและมีทุกข์แต่พอควร

.

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:53 น.] #2992158 (18/54)
นอกจากความสุขทางโลกที่เรียกว่า โลกียสุข ของคนทั่วไปแล้ว ทางพุทธศาสนาจะเน้นถึงความสุขที่เกิดจากการปฏิบัติภาวนา เพราะเป็นความสุขที่เป็นประโยชน์และยั่งยืนกว่า ไม่ได้มีการปรุงแต่งด้วยสังขาร ไม่ได้เป็นเวทนา คือ ความสุขที่เกิดจากการปฏิบัติสมาธิ เมื่อเป็นอัปปนาสมาธิ จิตเข้าสู่ปฐมฌานจะเกิดความรู้สึกวิตกวิจาร ปีติ-สุขที่เกิดจากสมาธิ ซึ่งเมื่อถึงทุติยฌาน (ขั้น 2) วิตกวิจารดับไปแต่ยังมีปิติสุขอยู่ เมื่อเข้าตติยฌาน (ขั้น 3) ปิติจึงดับ เหลือแต่สุข เมื่อถึงจตุตถฌาน (ขั้น 4) สุขจึงดับ เหลือแต่เอกัคคตาและอุเบกขา ดังนั้นผู้ที่แสวงหาความสุขที่แท้จริงพึงได้จากการปฏิบัติสมาธิเท่านั้น นักปฏิบัติจำนวนไม่น้อยติดอยู่กับสุขนี้ ซึ่งยังถือเป็นสุขทางโลก (โลกียสุข) อยู่ ถึงแม้ว่าสูงกว่าความสุขทางโลกทั่วๆจนถึงจุดสูงสุดที่ว่า ความสุขเสมอด้วยความสงบไม่มี ซึ่งหมายถึงสุขจากนิพพาน

.

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:54 น.] #2992159 (19/54)
พระพุทธองค์ได้เทศนาสอนให้พระอานนท์ดังนี้

“บุคคลผู้ปรารถนาความสุขในภพนี้และภพหน้าแล้ว จงรักษาใจให้ได้รับความสุข ส่วนตัวตนร่างกายภายนอกไม่สำคัญ เมื่อตายแล้วก็ทิ้งอยู่เหนือแผ่นดินหาประโยชน์มิได้ ส่วนใจนั้นติดตามตนไปในอนาคตเบื้องหน้า”

.

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:55 น.] #2992161 (20/54)
ทำไม?พุทธศาสนาเน้นเรื่องทุกข์

เรื่องของ ทุกข์ คือองค์ประธานของพุทธศาสนา สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ และนำมาสั่งสอนคือให้ปวงมนุษย์ปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์

ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นแพทย์จึงได้เห็นจริงในสัจธรรมเรื่องทุกข์ได้ดีกว่าคนอื่น เพราะทำงานเกี่ยวกับผู้ที่มีทุกข์ทั้งสิ้นในรูปแบบต่างๆกัน ความรุนแรงต่างกัน มีเหตุหรือจุดเร้าต่างกัน ผลของทุกข์ต่างกัน แต่ก็เป็นทุกข์ทั้งสิ้น แต่ทุกข์ในความหมายของศาสนาเป็นทุกข์ที่ลึกซึ้งตามหลักปฏิจจสมุปบาท ท่านพุทธทาสภิกขุเปรียบเทียบเหมือนชาวนาทำงานตากแดดแล้วร้อนก็เป็นทุกข์ธรรมดา แต่ถ้าร้อนแล้วคิดน้อยใจว่าเป็นชาวนาเป็นเวรเป็นกรรมอย่างนี้จึงเป็นทุกข์ตามปฏิจจสมุปบาท

.

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:56 น.] #2992163 (21/54)
นับแต่คนเกิดมาเรียกว่า ชาติ คือการเกิดของขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดังเขียนไว้แล้ว เมื่อมีชาติที่แน่นอนเที่ยงแท้ คือ มีชราและมรณะตามภาษาชาวบ้านว่า เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ทั้งหมดนี้เป็นทุกข์ทั้งสิ้น ที่ต้องเกิดแก่ทุกคนโดยไม่มีข้อหลีกเลี่ยง ได้แก่การเสื่อมโทรมของขันธ์ 5 จนถึงแตกดับสิ้นสุดไปชาติภพหนึ่งแล้วเริ่มต้นใหม่ไม่รู้จบ

ตามที่ท่านอธิบายละเอียดไว้ว่า

เกิด เป็นทุกข์

แก่ เป็นทุกข์

ตาย เป็นทุกข์

ไม่สบาย คับแค้นกายใจ เป็นทุกข์

ประจวบกับสิ่งที่ไม่รักไม่ต้องการ เป็นทุกข์

พลัดพรากจากสิ่งที่รัก เป็นทุกข์

ความไม่สมหวัง เป็นทุกข์

.

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 08:58 น.] #2992167 (22/54)
สัจธรรมที่พระพุทธองค์ได้สอนไว้ที่สำคัญก็คือไตรลักษณ์ ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งหมายความว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง ทุกสิ่งเป็นทุกข์ และทุกสิ่งไม่เป็นตัวตน ไม่เป็นของใคร ก็จะเห็นได้ว่าทุกข์เป็นองค์สำคัญในสัจธรรมนี้ ซึ่งเป็นความจริงตลอดกาล

เพื่อให้เข้าใจถึงเรื่องทุกข์มากขึ้นขอนำคำถามของพราหมณ์และคำตอบของพระพุทธองค์ดังนี้
พราหมณ์ : ทุกข์เราเป็นคนทำเองหรือพระเจ้าข้า
พระพุทธองค์ : อย่ากล่าวอย่างนั้นเลย

พราหมณ์ : ทุกข์เกิดเพราะเราร่วมกับคนอื่นช่วยกันทำหรือพระเจ้าข้า
พระพุทธองค์ : อย่ากล่าวอย่างนั้นเลย

พราหมณ์ : ถ้าเช่นนั้นทุกข์เกิดขึ้นไม่ใช่จากเราและคนอื่นช่วยกันทำหรือพระเจ้าข้า
พระพุทธองค์ : อย่ากล่าวอย่างนั้นเลย

พราหมณ์ : ถ้าเช่นนั้นทุกข์เกิดขึ้นเพราะอะไรพระเจ้าข้า
พระพุทธองค์ : ทุกข์เกิดขึ้นเพราะความมีอวิชชาหลงยึดตัวตนของตนว่ามีอยู่

ซึ่งคำตอบนี้คงชัดเจนพอที่เราจะเข้าใจได้ว่า เป็นเพราะเราไปยึดว่าเราเป็นเรา ซึ่งเป็นของยากที่เราจะเลิกยึดสิ่งนี้ได้ นอกจากจะเข้าใจสัจธรรมของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และพยายามปฏิบัติต่อเนื่องจนกว่าสามารถหลุดพ้นได้ ตามความมุ่งหมายของพระพุทธองค์ที่พยายามชี้ทางให้เรา

ขอให้สังเกตว่าวิทยาศาสตร์ได้นำหลักของอริยสัจ 4 นี้มาใช้เพื่อหาคำตอบอย่างใดอย่างหนึ่งทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับปรากฏการณ์ใดๆก็ตาม คือ ต้องหาว่าอะไรเป็นเหตุ แก้ไขได้อย่างไร และวิธีแก้ไขทำอย่างไร เห็นได้ว่าหลักธรรมของพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์
ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงได้ทรงสอนเรื่อง อริยสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย (เหตุแห่งทุกข์) นิโรธ (ความดับทุกข์) และมรรค (คือทางที่จะพ้นทุกข์)

.

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 09:00 น.] #2992171 (23/54)
บทความของคุณหมอท่านนี้ค่อนข้างยาว แต่ถ้าอ่านแล้วคิดตาม...

... น่าจะช่วยให้เราสงบขึ้น มีความสุขมากขึ้น




โดยคุณ jackrapant (317)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 09:07 น.] #2992185 (24/54)
กรรมที่เราเผชิญ เกิดจากกิเลศที่ปุถุชนอย่างเรายังพึงมี จะหลุดพ้นได้ด้วยการเห็นความจริง .. สาธุ ครับพี่บ้านพระระยอง

โดยคุณ elec_sichol (8.5K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 09:09 น.] #2992189 (25/54)
ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆ ที่มีมาให้อ่านครับ


โดยคุณ degdee (1.7K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 09:19 น.] #2992197 (26/54)

โดยคุณ superbid (245)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 09:20 น.] #2992198 (27/54)

โดยคุณ chanonk (4.2K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 09:31 น.] #2992210 (28/54)
สุดยอดเลยพี่

โดยคุณ tomying (3.6K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 09:33 น.] #2992213 (29/54)

โดยคุณ jintanar (1.2K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 09:40 น.] #2992229 (30/54)

โดยคุณ โยทิน (1.5K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 09:43 น.] #2992234 (31/54)
ตถาตา


โดยคุณ kamsajja (171)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 09:56 น.] #2992260 (32/54)
ขออนุโมทนาครับพี่

โดยคุณ gotton (1.1K)(1)   [อ. 10 ก.ย. 2556 - 09:59 น.] #2992267 (33/54)
วันนี้มาเทศน์ ยาวเลยน่ะครับ

โดยคุณ supersk (5.7K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 10:05 น.] #2992277 (34/54)
สุดยอด ขอบคุณครับ

โดยคุณ datyutthaya (1.5K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 10:10 น.] #2992288 (35/54)
ขอบคุณครับ

โดยคุณ Kokopp (1.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 10:15 น.] #2992292 (36/54)
สาธุ.........

โดยคุณ เศรษฐีปาฏิหาริย์ (1.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 10:29 น.] #2992308 (37/54)
อนุโมทนา สาธุ ! !

โดยคุณ พรโกสีย์ (8.4K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 10:36 น.] #2992322 (38/54)
ธรรมทาน ขออนุโมทนา สาธุด้วยครับพี่

โดยคุณ ekamulet99 (379)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 10:55 น.] #2992344 (39/54)
อนุโมทนา สาธุ.


โดยคุณ พิภพ16 (9.4K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 11:24 น.] #2992388 (40/54)
สาธุครับพี่อนุสิษฐ์


โดยคุณ นู๋แจ้งนอก (431)(1)   [อ. 10 ก.ย. 2556 - 11:48 น.] #2992422 (41/54)
ขอให้บุญกุศลที่ท่านเจ้าของกระทู้นำมาแบ่งปันกันนี้เกิดแก่ทุกท่านสมาชิกในG-PRA นี้ด้วยเทรญ.อนุโมทนา สาธุ

โดยคุณ sathitinterrayon (426)(3)   [อ. 10 ก.ย. 2556 - 12:14 น.] #2992452 (42/54)
สาธุครับ

โดยคุณ bigtee (654)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 12:51 น.] #2992513 (43/54)
สาธุ จงเป็นสุขเถิด อย่าใดมีเวรกรรมต่อกันและกันเลย

โดยคุณ หลวงน้า (4.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 13:41 น.] #2992591 (44/54)
สาธุ จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าใดมีเวรและกรรมต่อกันและกันเลย สาธุ สาธุคร๊าบบบ

โดยคุณ ไตรภูมิ (414)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 14:16 น.] #2992634 (45/54)
สาธุครับ

โดยคุณ phichet (13.8K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 14:28 น.] #2992647 (46/54)
ขอบคุณบทความดีๆครับผม

โดยคุณ สังข์ทอง01 (295)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 15:00 น.] #2992706 (47/54)
สาธุ อนุโมทนาด้วยครับ

โดยคุณ ณสรวง (4.1K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 17:50 น.] #2992896 (48/54)
เยี่ยม มากๆๆๆ

โดยคุณ AnanBhangananda (2.2K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 18:31 น.] #2992944 (49/54)
ขอบคุณมากๆครับ

โดยคุณ saintjames (346)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 20:13 น.] #2993097 (50/54)

โดยคุณ Matin22 (4K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 22:49 น.] #2993512 (51/54)
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับผม..

โดยคุณ PN-AUTOGAS (1.3K)  [อ. 10 ก.ย. 2556 - 23:31 น.] #2993644 (52/54)
อนุโมทนา สาธุ ! !

โดยคุณ kamlaingern (370)  [พ. 11 ก.ย. 2556 - 00:05 น.] #2993707 (53/54)
เป็นบทความที่ดีมากครับพี่

โดยคุณ eak1974 (4.1K)  [พ. 11 ก.ย. 2556 - 14:34 น.] #2994384 (54/54)

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM
www1