 (N)
อิทธิพลานุภาพ หลวงพ่อทวด วัดช้างให้
ข้อมูลจากจากหนังสือ พระเครื่องกรุงสยาม
ความจริงแล้วประสบการณ์ของหลวงพ่อทวดได้เกิดขึ้นอย่างมากมายจนนับครั้งไม่ถ้วน และได้มีการบันทึกเป็นตัวหนังสือที่มีประจักษ์พยาน
ยืนยันชัดเจน ท่านผู้อ่านก็คงได้อ่านผ่าน
สายตากันไปแล้วทุกคน การเขียนประสบการณ์ครั้งนี้ผมได้คิดไตร่ตรองอยู่หลายครั้งแล้วว่าจะเขียนดีหรือไม่ เพราะมีคนเขียนบอก
เล่ากันหลายคนและเขียนกันหลายครั้ง ผมเขียนครั้ง นี้จะเป็นการเอามะพร้าวมาขายสวนหรือปล่าวก็ไม่ทราบ อีกประการหนึ่งเรื่องนี้เรื่องนี้
มันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของบุคคลและอาจเกี่ยวกับคดีด้วย แต่เห็นว่าเวลามันผ่านไปเนิ่นนานมาแล้ว ประกอบกับต้องการยกย่องและ
หลวงพ่อทวดให้หลายๆคนได้ศรัทธายิ่งๆ ขึ้น
ผมจึงตัดสินใจจับปากกาขึ้นมาเขียนประสบการณ์หลวงพ่อทวดอีกครั้งหนึ่งที่เกิด ขึ้นมานานแล้ว
และขอให้ท่านผู้อ่านเรื่องนี้จบแล้วโปรดใช้วิจารณญาณ ประกอบด้วยว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้เพราะอะไร? เพราะความบังเอิญหรือเพราะบารมีของหลวงพ่อทวดกันแน่
เหตุการณ์ ครั้งนั้นมันเกิดขึ้นมาร่วม 30 ปีแล้ว ขณะนั้นผมราชการเป็นครูสอนอยู่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี
พอมีเวลาว่างๆอย่างช่วงวันหยุดหรือโรงเรียนปิดเทอม ผมจะมาดูสวนดูไร่ที่ อ.ละแม จ.ชุมพร เสมอๆ เพราะเป็นสวนที่คุณตาของ
ผมมาซื้อไว้ตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.2500 ซึ่งสมัยนั้นราคายังถูกอยู่มาก ตอนแรกสวนของผมอยู่แต่บริเวณปากนํ้าละแมเท่านั้น ต่อมาได้ขยับ
ขยายไปซื้ออีกแปลงหนึ่งที่บริเวณเขาชะมดบริเวณ เขาชะมดเมื่อก่อน
เป็นที่แบบที่คนทางภาคใต้เรียกกันว่านิคม คือยังไม่มีการออกโฉนดหรือ นส.3 มีเพียงแต่หลักฐานที่ทำกินเท่านั้น อาณาบริเวณก็ยังเป็นป่าดงอยู่มาก สัตว์ป่าก็ชุกชุม เหนือๆขึ้นไปก็ยังมีที่วางให้คนมา
ถากถางจับจองได้ บริเวณเขาชะมดมีคนอพยพมาจับจองและซื้อที่ทำสวนทำไร่กันมากและก็มาจากหลายถิ่นหลายจังหวัด
ที่เขาชะมดนี้ผมได้รู้จักชายคนหนึ่งผมเรียกแกว่าน้า ยม (ขออภัยที่ผมต้องสงวนชื่อจริงนามสกุลจริง) ซึ่งแกอพยพมาจาก อ.หัวไทร
จ.นครศรีธรรมราช มาอยู่ก่อนหน้าผมไม่กี่ปี
สำหรับน้ายมนี้แกเป็นคนมี อัธยาศัยดีมาก เพื่อนบ้านต่างให้ความรักความเกรงใจ ประกอบอาชีพด้วยความขยันจนสร้างฐานะขึ้นมาอยู่ได้
แบบไม่เดือดร้อน แต่ลึกๆแล้วทุกคนก็ทราบว่าน้ายมนี้แกเป็นนักเลง เป็นคนจริงไม่รังแกและสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นแต่จะมีใครมา
รังแกหรือกลั่นแกล้งแกไม่ได้เหมือนกันปกติ น้ายมแกจะห้อยหลวงพ่อทวด วัดช้างให้ เตารีดใหญ่ปี 05 อยู่องค์เดียวในคออยู่เป็น
ประจำ โดยใส่ตลับเงินหนาแบบสมัยก่อนและห้อยติดกับสร้อยสแตนเลส เวลานั้นหลวงพ่อทวดไม่ได้ดังเหมือนสมัยนี้ ราคาไม่แพงด้วย ขนาดเนื้อว่านปี 97 ยังให้กันปล่าวๆได้เลย
คืน วันหนึ่ง...แกลงมานั่งเฝ้ามะพร้าวแห้งที่บรรจุในกระสอบแห้งเพื่อจะนำไปขาย ที่อ.หลังสวน จ.ชุมพร แต่รุ่งเช้า ที่ต้องลงมาเฝ้าเพื่อป้องกันคนมาขโมยนั่นเอง ด้วยเห็นว่าสนิทสนมกัน
ผม จึงไปนั่งเฝ้าเป็นเพื่อนแกด้วย ปกติน้ายมแกไม่ค่อยดื่มเหล้าแต่เวลามีการมีงานแกก็นั่งสังสรรค์และดื่มกับ เขาบ้าง แต่ก้ดื่มแต่เพียง
เล็กน้อยเท่านั้น ส่วนมากแกจะนั่งฟังคนอื่นคุยเสียมากกว่า พอเห็นว่าผมไปอยู่เป็นเพื่อนแก แกเลยใช้ให้ลูกแกไปซื้อเหล้าโรงจากร้านค้า
มาหนึ่งขวดแล้วเอามานั่งดื่มกับผม กันสองคน ตอนหนึ่งผมเอ่ยถามแกว่าเคยมีประสบการณ์กับหลวงพ่อทวดหรือถึงได้ห้อยคอไม่เคยห่าง
เลย?
พอผมเอ่ยถาม น้ายมนิ่งครู่นึงแล้วพยักหน้าช้าๆ ผมจึงขอให้แกเล่าประสบการณ์ให้ฟัง ซึ่งแกก็ยินดีเล่าให้ฟังดังนี้
เมื่อ ก่อนนั้นน้า (หมายถึงน้ายม ผู้เล่า) ไม่ได้มีอาชีพเป็นคนดีอย่างนี้หรอกแต่มีอาชีพแบบว่าคนดีเขาไม่ทำกันคือมี อาชีพเป็นมือปืน
รับจ้าง แต่งานก็ไม่มีบ่อยนักนานๆครั้งถึงจะมีสักทีวัน หนึ่งได้มีคนว่าจ้างให้ไปยิงคนที่ นาบอน จ.นครศรีธรรมราช ในราคา 1000 บาท
(1000บาท เมื่อ 30 ปีก่อน) คนติดต่อได้พาน้าไปอยู่บ้านเขา อยู่ประมาณ 2-3 วัน เพื่อรอโอกาส จนวันหนึ่งคนติดต่อได้มาบอก
แกว่าวันนี้ตอนเย็นให้ลงมือได้เพราะเหยื่อจะเดินทางไปธุระด้วยรถไฟ
ซึ่งรถไฟจะมาถึง ต.นาบอน (สมัยนั้นยังไม่ได้เป็นอำเภอ) ในตอนเย็นๆ เกือบๆจะค่ำแล้วเดินทางคนเดียวด้วย
พอถึงเวลาคน ติดต่อก้ได้มารับน้านั่งรถมอเตอร์ไซค์ไปที่สถานีรถไฟนาบอน พอไปถึงคนติดต่อก็ได้พาไปนั่งแอบอยู่หลังห้องขายตั๋วแล้วก็
ชี้เป้าหมายไปที่ คนๆหนึ่ง ซึ่งเป็นเหยื่อใน
ครั้งนั้น เหยื่อเป็นชายอายุประมาณ 33-34 ปี นั่งอยู่บนเก้าอี้ม้าหินอ่อนหน้าสถานีรถไฟ โดยมีสัมภาระเป็นกระเป๋าเดินทาง 1 ใบและ
ชะลอมใส่ผลไม้ 1 ชะลอม เมื่อชี้เป้าหมายเป้น
ที่มั่นเหมาะแล้ว คนติดต่อก็บอกว่าเมื่อทำงานสำเร็จแล้วให้วิ่งไปที่จุดนัดพบข้างสถานีรถไฟ ซึ่งที่นั้นจะมีคนเอามอเตอร์ไซค์มารอรับอยู่คน
หนึ่ง ส่วนคนติดต่อจะนั่งดื่มกาแฟข้างๆ สถานีนั่นเอง
เมื่อจำเหยื่อ ได้แม่นยำและตกลงเป็นที่มั่นเหมาะแล้ว คนติดต่อก็ได้เดินไปที่ร้านกาแฟ ส่วนน้าได้เดินไปหาเหยื่อเพื่อรอโอกาสจังหวะที่จะลงมือ
แค่น้าเดินมา จากหลังห้องขายตั๋วมายังเหยื่อที่นั่งอยู่ จากผู้ชายอายุประมาณ 33-34 ปี กลับเป็นพระสงฆ์แก่ๆ รูปหนึ่งนั่งอยู่แทน
ค้วยคิดว่าเหยื่อจะเดินไปทำธุระหรือเข้าห้องน้ำเพราะกระเป๋าเดินทาง และชะลอมผลไม้ยังวางอยู่เหมือนเดิม
น้าจึงนั่งลงที่บนม้าหินอ่อนข้างๆพระสงฆ์แก่ๆสูงอายุรุปนั้นเพื่อรอเหยื่อ กลับมาและคิดว่าจะลงมือขณะที่รถไฟจอดเทียบสถานีดีกว่าเพราะตอน
นั้นคนกำลังชุลมุนง่ายต่อการทำงาน
วันนั้นรถไฟเสียเวลานานมากแต่เหยื่อที่น้ารออยู่ไม่มาสักที ขณะที่นั่งรออยู่นั้น
พระภิกษุชราภาพรูปนั้นก็ได้หันหน้าที่น้าแล้วพูดเปรยๆขึ้นว่า
"ชีวิตใครเขาก็รัก ต่างคนต่างก็กลัวตายกันทั้งนั้น สูก็กลัวความตายเหมือนกัน"
เมื่อพระภิกษุรูปนั้นพูดจบ น้าตัวชาดิก หน้าร้อนผ่าว ท่านพูดแบบนี้เพื่ออะไรกัน?
เมื่อ พูดประโยคแรกจบแล้ว
พระภิกษุชรารูปนั้นได้หันหน้ากลับแล้วมองทอดสายตาไปยังป่าสวนยางพาราด้าน หน้าสถานีอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดเปรยๆขึ้นมาอีก โดยไม่หันหน้ากลับมา
"เวรกรรมนั้นมีจริง ทำอะไรก็ได้นั้น ฆ่าเขาลูกเมียเขาก็เดือดร้อน เขาฆ่าเราลูกเมียเราก็เดือดร้อน งานการดีๆก็มีเยอะ ทำไมถึงไม่ไปทำ"
พูด จบน้าตัวสั่นเลย ทั้งๆที่น้าเป็นคนใจแข็งมาก แต่ทำไมพอพระสงฆ์รูปนั้นพูดน้าถึงเกิดความกลัวจนต้วสั่นก็ไม่รู้ ท่านพูดเหมือนกับว่าท่านรู้ว่าน้ามาที่นี่เพื่อทำอะไร ขณะนั้นน้าก็ได้
หัน ไปมองรอบๆก็ไม่เห็นเหยื่อเดินมาสักที ทั้งๆทีกระเป๋าเดินทางและชะลอมใส่ผลไม้ก็ยังวางอยู่ที่เดิม พอหันกลับมามองพระภิกษุรูปนั้นก็เห็นว่าท่านกำลังจ้องมองน้าอยู่พอดี
แล้วท่านก็ได้พูดขึ้นมาอีกว่า
"สูทำบาปมามากแล้ว หยุดสักทีเถอะ"
ขณะ ที่น้ากำลังสับสนอยู่นั้น ก็พอดีรถไฟที่จะเข้ากรุงเทพ ก็เข้ามาจอดที่ชานชาลาสถานี ผู้คนต่างก็กุลีกุจอรีบขึ้นรถไฟ
พระภิกษุรูปนั้นก็ลุกขึึ้นยืนมือหนึ่งถือกระเป๋าเดินทางและมือหนึ่งถือชะลอมใส่ผลไม้ของเหยื่อที่น้ามานั่งรออยู่แล้วหันมาพูดกับน้าว่า
"สูเลิกทำชั่วได้แล้วละ ตอนนี้ยังไม่สายเกินไป กลับตัวเสียแต่ตอนนี้เลยยังมีโอกาสอยู่"
จาก นั้นท่านก็หิ้วกระเป๋าเดินทางและชะลอมใส่ผลไม้ขึ้นรถไฟ ส่วนน้ายืนงง จนรถไฟออกจากสถานีไป พอหายงงก็หันกลับมามองที่ม้า
นั่งหินอ่อนที่พระภิกษุชรานั้นนั่งอยู่ ก็เห็นว่าบน
ม้านั่งหินอ่อนนั้นมีห่อกระดาษเล็กๆวางอยู่ ก็หยิบขึ้นมาดู เห็นเป็นซองบุหรี่แต่ข้างในเหมือนกับมีของหนักๆบรรจุอยู่
ยังไม่ทันจะแกะดู ก็พอดีคนที่มาติดต่อเดินเข้ามาต่อว่าทันทีว่า
ทำไมไม่ลงมือ? น้าก็บอกว่า ไม่ทราบว่าเหยื่อหายไปไหน? คนติดต่อก็ว่าจะหายไปไหนล่ะ ก็นั่งคุยอยู่ด้วยกันตั้งนานแล้วหิ้วของขึ้น
รถไฟไปต่อหน้าต่อตา น้านี้พอได้ฟังขนลุกชูชัน
ทันที ขณะนั้นคนติดต่อได้ก้มลงมองดูห่อกระดาษในมือน้าพอเห็นว่าเป็นซองบุหรี่ก็ไม่ สนใจ จากนั้นก็ได้ชวนกันกลับ ตกลงงานนั้นก็ไม่
สำเร็จ รุ่งขึ้นน้าเลยเดินทางกลับอ.หัวไทร ทันที
ในห่อกระดาษซองบุหรี่นั้น
ภายหลังเมื่อน้าแกะออกดูแล้วปรากฎว่าเป็นพระเครื่องหลวงพ่อทวด พิมพืเตารีดใหญ่ปี 05 ที่น้าห้อยคออยู่นี่แหละและหลังจากนั้นคำพูด
ของพระภิกษุชรารูป
นั้นก็ยังก้องอยู่ในหุของน้าตลอดเวลาโดยเฉพาะคำพูดประโยคที่ว่า
"สูเลิกทำชั่วได้แล้วละ ตอนนี้ยังไม่สายเกินไป กลับตัวเสียแต่ตอนนี้เลยยังมีโอกาสอยู่"
หลัง จากคิดอยู่หลายวัน น้าจึงตัดสินใจเลิกอาชีพทำชั่วอย่างเด็ดขาดและด้วยที่เคยทำชั่วไว้มากก็กลัว ว่าญาติพี่น้องและพรรคพวกที่น้าได้
กระทำเอาไว้จะตามล้างแค้น น้าจึงได้อพยพครอบครัวพาลูกเมียมาทำไร่หากินอยู่ที่เขาชะมดมาจนทุกวันนี้แหละผม นั่งฟังน้ายมจนจบ เห็น
ว่าประสบการณ์ของหลวงพ่อทวดทีมีต่อแกนั่นผิดแปลกกับคนอื่นๆ คือไม่ได้เป็นประสบการณ์ที่ช่วยให้รอดพ้นจากอันตราย
แต่เป็นประสบการณ์ที่ ช่วยดึงน้ายมรอดพ้นจากวังวนของการประกอบกรรมชั่ว
และหากไม่เพราะ บารมีของหลวงพ่อทวดที่ช่วยให้กลับเนื้อกลับตัวได้
น้ายมยังบอกว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าแกจะมีชีวิตรอดและอยู่สุขสบายเหมือนบัดนี้หรือเปล่า?
ที่ สำคัญแกยังสงสัยไม่หายว่าวันนั้นทำไมแกถึงมองเห็นเหยื่อเป็นพระภิกษุชราไปได้? แล้วพระภิกษุชรารูปนั้นยังช่วยสอนเตือนให้แกคิดได้อีกและ.....
หลวงพ่อทวด พิมพ์เตารีดใหญ่ปี 05 องค์นี้มาจากไหน |