 (N)
ณ ห้วงเวลาหนึ่งที่ได้มีบุญเป็นศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อคูณ
ผู้เขียนได้หยิบปากกามาจดจ้องที่จะบรรยายตามหัวข้อที่เขียนไว้ จนแล้วจนรอดก็ยังมิได้เขียนสักครั้ง เนื่องจากคิดอยู่หลายหนว่าถ้าเขียนความจริงลงไปจะกระทบกระเทือนผลประโยชน์ของผู้ใดบ้างหรือไม่ จึงได้แต่เป็นผู้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุมงคลของพระเดชพระคุณเจ้าหลวงพ่อคูณ ที่ผู้เขียนได้รู้ได้เห็นและสัมผัสมา ณ ห่วงเวลาหนึ่งที่ได้มีบุญเป็นศิษย์ใกล้ชิดกับพระเดชพระคุณเจ้ารูปนี้ ซึ่งเป็นเวลาไม่นานนักแต่ก็เป็นห้วงเวลาที่มีอะไรหลายอย่างกับวัตถุมงคลที่หลวงพ่อคูณได้สร้างให้ลูกศิษย์ ในช่วงเวลาดังกล่าวแต่เมื่อได้ติดตามข้อมูลมาตลอด ผู้เขียนได้เห็นข้อมูลที่สื่อออกมานั้นบางเรื่องราวคลาดเคลื่อนกับความเป็นจริงที่ผู้เขียนได้เป็นผู้มีส่วนร่วมได้กระทำและได้รับรู้อยู่ในเวลานั้น จึงนึกกังวลอยู่ในใจว่าต่อไปในอนาคตวัตถุมงคลของพระเดชพระคุณเจ้าได้สร้างแล้วแจกให้ลูกศิษย์ด้วยความเมตตาและห่วงใยลูกหลาน จะถูกจารึกและบอกขานสืบต่อไปในอนาคตอย่างผิดๆ ผู้เขียนจึงได้ตัดสินใจจรดปากการ่างอักษรเหล่านี้ไว้ เพื่อจะได้เป็นข้อมูลให้ลูกหลานทั้งหลายที่สืบต่อจากพวกเราที่มีความสนใจในวัตถุมงคลในบางส่วนได้ถูกต้องชัดเจน เพื่อเสริมสร้างศรัทธาและภาคภูมิใจที่เขาได้มีโอกาสครอบครองอริยะสมบัติที่ทรงคุณค่านั้นๆ พร้อมทั้งข้อมูลของการจัดสร้างที่ถูกต้องไม่คาดเคลื่อน เป็นที่ถกเถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังวัตถุมงคลทั้งหลายที่ทรงคุณค่า ณ ปัจจุบันนี้ที่มิได้มีข้อมูลสำหรับลูกหลานที่สืบทอดมาเช่นรุ่นพวกเรา นี่คือเจตนาที่ผู้เขียนได้ตัดสินใจที่จะบอกเล่าไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้มีหลักฐานในการศึกษาต่อไป ถึงแม้จะเป็นเศษเสี้ยวหนึ่งของวัตถุมงคลอีกหลายๆ รุ่นก็ตาม
ความเป็นมาในอดีตที่นำพาให้ผู้เขียนมีบุญกุศลได้เป็นศิษย์ที่ใกล้ชิดกับหลวงพ่อในปี พ.ศ. 2514 ผู้เขียนได้ใกล้ชิดกับคุณเชิดศักดิ์ ภูมิสวัสดิ์(คุณต้อย) จนเกือบจะได้เป็นญาติกันทีเดียว เนื่องจากคุณเชิดศักดิ์หรือคนในบ้านเรียกติดปากว่าคุณต้อย ได้มาติดพันธุ์ชอบพอกับน้องภรรยาผู้เขียนคือคุณสมพิทย์ สิทธิพล หรือที่บ้านเรียกกันว่า"น้องแต๋ว"(ต้องกราบขออภัยต่อญาติทั้งหลายทั้งของคุณต้อยและน้องแต๋ว ที่ผู้เขียนได้นำนามของท่านมากล่าวไว้ ณ ที่นี้ ทั้งนี้ด้วยเจตนาที่จะขอเชิดชูเกียรติคุณของท่านทั้งสองไว้ให้เป็นที่รู้จักในฐานะที่ท่านได้มีบทบาทสำคัญในการสร้างกุศลกรรม โดยเป็นผู้ดำเนินการจัดสร้างวัตถุมงคล ซึ่งผู้เขียนจะได้กล่าวต่อไป ทั้งนี้ท่านทั้งสองได้สิ้นชีวิตไปแล้ว ขอกุศลกรรมความดีที่ท่านทั้งสองได้สร้างไว้กับพระอริยเจ้าพระองค์นี้และมีไว้ต่อศาสนาจงนำวิญญาณท่านสู่สุขติภพภูมิเถิด) แต่กรรมย่อมเป็นของแต่ละบุคคลมิมีใครหลีกเลี่ยงได้ แม้แต่กุศลกรรมที่ทำอยู่ก็จะเป็นกุศลกรรมที่ตอบสนองการกระทำของเราในเวลาอันควร น้องแต๋วได้สิ้นอายุลงทั้งที่อายุยังน้อย ได้ละทิ้งอนาคตหน้าที่การงานที่กำลังเจริญรุ่งเรือง เนื่องจากน้องแต๋วมีการศึกษาสูง(จบปริญญาโทจากจุฬาฯ) จึงได้มีโอกาสเข้าทำงานในสำนักงานเลขานุการอธิบดีกรมทางหลวง เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความปั่นป่วนและเสียขวัญต่อครอบครัวเรามาก รวมทั้งคุณต้อยด้วย
ขอย้อนกลับมาเหตุการณ์ที่ผู้เขียนได้พูดถึงการได้มีกุศลได้เป็นศิษย์ของหลวงพ่อคือ ในค่ำวันหนึ่งคุณเชิดศักดิ์(คุณต้อย) ได้เข้ามาที่บ้านผู้เขียน(ปกติแกจะมาเกือบทุกเย็นค่ำตามประสาคนหนุ่มที่มีความรัก) และได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่าเมื่อสองวันก่อนหน้านี้ได้เข้าไปในพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลที่วัดใหม่พิเรน ที่อยู่บริเวณโพธิ์สามต้นได้มีโอกาสได้เห็นพระคณาจารย์หลายรูปได้เข้าร่วมพิธีแผ่เมตตาพลังจิต แต่มีรูปหนึ่งท่านมาแปลกตรงที่ท่านมิได้นั่งขัดสมาธิแบบองค์อื่นๆ แต่ท่านนั่งยองๆและภาวนาลูกประคำ ผมถ่ายรูปไว้เดี๋ยวผมจะล้างฟิล์มและอัดมาให้ดูไม่กี่วันต่อมา คุณต้อยก็ได้มาที่บ้านและได้พบกับผู้เขียนได้เล่าเรื่องนี้ด้วยอาการตื่นเต้นว่า รูปที่ถ่ายไว้ได้นำฟิล์มไปล้างเพื่อที่จะอัดเป็นภาพมาให้ดูปรากฏว่าเมื่อล้างฟิล์มแล้วไม่ปรากฏภาพใดๆเลย จนเจ้าของร้านถ่ายรูปถามว่าเอาฟิล์มที่ยังไม่ได้ถ่ายมาล้างทำไม ผู้เขียนก็เลยถามว่าก่อนถ่ายได้ขออนุญาตหรือขอขมาอภัยต่อท่านหรือเปล่า คุณเชิดศักดิ์บอกว่าเปล่า เพราะขณะนั้นท่านกำลังบริกรรมคาถาอยู่
จากปรากฏการณ์ดังกล่าวผู้เขียนพร้อมทั้งครอบครัวจึงเกิดความสนใจว่าพระเดชพระคุณเจ้ารูปนั้นเป็นท่านใด ได้ติดตามถามไถ่จนทราบว่า พระคุณเจ้ารูปนั้นคือ หลวงพ่อคูณแห่งวัดบ้านไร่ และได้จำพรรษาอยู่ที่วัดสระแก้ว จึงได้ดั้นด้นไปหาจนได้พบกับท่านและขอปราวณาตัวเป็นลูกศิษย์ ซึ่งท่านก็ได้รับไว้ ต่อมาคุณเชิดศักดิ์ก็ได้นำผู้เขียนพร้อมครอบครัวและท่านผู้ใหญ่ที่เคารพ เดินทางไปกราบนมัสการพระคุณเจ้าที่วัดสระแก้ว ตั้งแต่นั้นครอบครัวของเราก็ได้ไปกราบนมัสการท่านเกือบทุกเสาร์และอาทิตย์ ด้วยศรัทธาใน หลวงพ่อเป็นพระสมถะการดำรงธรรมของท่านมีสมาธิมาก ท่านนั่งในท่ายองได้เป็นวันๆ ท่านอยู่ในกุฏิเล็กๆ ญาติโยมสามารถเข้าไปในกุฏินี้ได้ไม่เกินกว่า 6-7 คน เตียงนอนของท่านต่อด้วยไม้เก่าพอเป็นเตียงปูด้วยจีวรเก่าๆ โต๊ะหมู่บูชา จัดทำด้วยไม้เก่าที่เก็บมาทำให้เป็นโต๊ะหมู่บูชาตั้งอยู่ด้านข้างหัวเตียงมีพระพุทธรูป 1 องค์ กระถางธูปและเชิงเทียนเท่านั้น หน้าโต๊ะบูชามีกล่องกระดาษสีน้ำตาลใส่ตระกรุดคาดเอวเป็นชุดกองอยู่และใต้เตียงมีกล่องดังกล่าวขนาดเล็กอีกใบ เหนือหัวเตียงมีย่าม 1 ใบแขวนอยู่ นอกเหนือจากนี้แล้วผู้เขียนไม่พบทรัพย์สินใดๆ
คณะศิษย์ที่เดินทางไปนมัสการท่านอย่างสม่ำเสมอขณะนั้นก็ได้แก่คุณแม่ฉวี สิทธิพล คุณชุมพล สิทธิพล อาจารย์สุภาพ เพิ่มโภคา(ภรรยาผู้เขียน) คุณสมพิทย์ สิทธิพลรวมทั้งคุณ สมนึก จาดเสน(ปัจจุบันเป็นผู้ชำนาญการดูพระที่ท่าพระจันทร์(เซียนพระ) ก็เคยร่วมไปกับเราหลายครั้ง ท่านที่เคารพรักของผู้เขียนทั้งหมดได้เดินทางไปสรวงสวรรค์หมดแล้ว ยังเหลืออยู่ก็คุณสมนึกและผู้เขียนเท่านั้นในคณะดังกล่าว ท่านเหล่านั้นไม่สามารถจะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆได้แล้ว ผู้เขียนจึงเห็นว่าเราเท่านั้นที่เก็บข้อมูลความจริงให้นิ่งเป็นใบ้ น่าจะนำมาบอกกล่าวให้ลูกหลานในอนาคตได้รับรู้ต่อไป
เชื่อหรือไม่หลวงพ่อเรียกเงินได้ การที่ได้เดินทางไปนมัสการท่านบ่อยครั้งทำให้เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ และได้รู้ถึงแรงศรัทธาของประชาชนตลอดจนญาติโยมทั้งหลาย ในครั้งที่ผู้เขียนเดินทางไปนมัสการหลวงพ่อคณะที่ไปจะนอนค้างคืนกลางศาลาหน้ากุฏิของท่านหนึ่งคืนเป็นเช่นนี้เสมอ อาหารเช้ากลางวันก็คือข้าวก้นบาตรนั้นแหละ บางครั้งก็ได้ถวายภัตราหาร ได้พบเห็นผู้ที่ศรัทธาเข้ามานมัสการหลวงพ่อนอกจากญาติโยมคนไทยทั้งหลายแล้วยังได้เห็นบุคคลต่างชาติต่างศาสนาได้เข้ามากราบนมัสการหลวงพ่ออย่างมากมาย บุคคลเหล่านี้ก็คือ ทหารอากาศ จีไอ ที่ประจำอยู่ฐานทัพโคราชเนื่องจากขณะนั้นเกิดสงครามที่เวียดนาม ทหารเหล่านี้จะเป็นนักบินนำเครื่องบินไปทิ้งระเบิดที่เวียดนาม ทหารเหล่านี้จะได้ลูกเมียที่โคราชเป็นจำนวนมาก บรรดาภรรยาเหล่านั้นก็ย่อมเป็นห่วงสามีเป็นธรรมดาต่างได้นำพาสามีมาขอของขลังจากหลวงพ่อให้สามีติดเครื่องบินไปรบ(ส่วนมากจะชอบและอยากได้มากก็คือก้นบุหรี่ของหลวงพ่อ) ปรากฏว่าผู้ที่มีก้นบุหรี่ของหลวงพ่อติดตัวไปได้รอดชีวิตกลับมาเกือบทุกรายทั้งที่บางลำถูกยิงไปสุดท้ายมาก็ยังนำเครื่องลงฐานทัพได้ จนเป็นที่อัศจรรย์ใจต่อทหารเหล่านั้น จนเรียกหลวงพ่อคูณว่า Feather Koon
แรงศรัทธาที่มีต่อหลวงพ่อทำให้ญาติโยมบางท่านขอของจากหลวงพ่อที่เกินจากความคาดคิดก็เกิดขึ้นจนได้ ขณะที่ผู้เขียนนั่งอยู่ต่อหน้าหลวงพ่อได้มีโยมผู้ชายท่านหนึ่ง น่าจะเป็นคนในภาคอีสานนั่นเอง อายุประมาณ 40 ปี เห็นจะได้คลานมากราบหลวงพ่อแล้วเงยหน้าขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่อหลวงพ่อ โดยขอให้หลวงพ่อบ้วนน้ำลายจากปากหลวงพ่อให้ลงปากของแก การขอครั้งนี้สร้างความตะลึงกับหลวงพ่อรวมทั้งผู้เขียนเองถึงกลับนั่งตัวแข็งเป็นใบ้ไปเลย หลวงพ่อนิ่งไปนานพอสมควรในขณะที่คนนั้นยังคงนั่งพนมมือยืนหน้าอ้าปากอยู่ต่อหน้าหลวงพ่อ จนหลวงพ่อเอ่ยปากกับโยมผู้นั้นว่าขออย่างอื่นจากกูไม่ได้หรือไอ้น้อย แต่โยมยืนยันอยากได้ตามที่ขอ หลวงพ่อหันซ้ายหันขวาหันกลับก็ยังคงเห็นโยมนั่งยื่นหน้าอ้าปากอยู่เช่นนั้น หลวงพ่อก็ถามมาอีกว่ามึงอยากได้สิ่งนี้แน่หรือ มันดีนักหรือ โยมพยักหน้าอย่างมั่นใจ หลวงพ่อท่านมีคติประจำใจมาแต่ไหนแต่ไรกับการเป็นผู้ให้ ถ้าผู้นั้นเอ่ยปากขอโดยท่านจะกล่าวเสนอว่า"ถ้ามึงขอกูก็ให้" เมื่อเห็นโยมยืนยันด้วยศรัทธาเช่นนั้น หลวงพ่อก็หลับตานั่งภาวนาอยู่อึดใจหนึ่งก็ลืมตาและบ้วนน้ำลายลงไปในปากโยม ผู้เขียนเองต้องเบี่ยงหน้าหลบไป เมื่อโยมผู้นั้นได้สิ่งสมปารถนาแล้วก็กราบลาไปนี่เป็นประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้พบเห็นกับตาตัวเอง ต่อความศรัทธาที่ญาติโยมมีต่อหลวงพ่อ
อีกประสบการณ์หนึ่งที่ผู้เขียนได้ประสบกับตาตัวเอง ในเช้าวันหนึ่งผู้เขียนก็นั่งอยู่ต่อหน้าหลวงพ่อ ได้มีโยมผู้หญิงท่านหนึ่งต่อมาได้ทราบว่าท่านเป็นครูโรงเรียนแห่งหนึ่ง ได้คลานมากราบหลวงพ่อแล้วกล่าวขอความเมตตาจากหลวงพ่อให้ช่วย โดยโยมผู้นี้แจ้งว่ารางน้ำของโรงเรียนชำรุดผุพังเวลาฝนตกน้ำฝนจะรั่ว จึงขอให้หลวงพ่อช่วยอุปการะค่าใช้จ่ายในการซ่อมทำรางน้ำดังกล่าว ท่านนั่งนิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง จึงเอ่ยปากถามโยมว่า อีน้อยมึงต้องการเงินเท่าไหร่ โยมบอกว่าต้องการ 3,500 บาท(สามพันห้าร้อยบาท) ท่านได้ตอบกับโยมผู้นั้นว่าตอนนี้กูไม่มีเงินหรอกเงินมันยังไม่เกิดมึงจะรอได้หรือไม่ โยมตอบรับว่ารอได้ ท่านได้หันไปใต้เตียงนอนหยิบกล่องกระดาษสีน้ำตาล(กล่องแม่โขงขนาดเล็ก) ออกมาแล้วเสือกกล่องไปข้างหน้า ผู้เขียนคิดในครั้งแรกว่าหลวงพ่อทำอะไรและก็ได้คิดว่าหลวงพ่อกำลังเรียกเงินให้โยม จึงได้ล้วงเงินในกระเป๋าขึ้นมา 20 บาท(ยี่สิบบาท) ยกเงินขึ้นจดพนมแล้วหยอดลงในกล่อง เพื่อให้ญาติโยมรู้ว่ากล่องนี้รับการบริจาคเงิน เวลาล่วงเลยไปถึงช่วงสายญาติโยมได้ทยอยกันมากราบนมัสการหลวงพ่อ พอเห็นกล่องที่มีเงินใส่อยู่ต่างก็ทราบกันได้ว่าเป็นกล่องรับบริจาค จึงได้มีการทำบุญใส่ลงในกล่องดังกล่าว จนมีมากพอสมควรหลวงพ่อจึงเรียกโยมผู้นั้นว่าอีน้อยมึงไปดูเงินที่มึงขอไว้ มันพอต่อความต้องการหรือไม่ โยมที่เป็นครูท่านนั้นได้ควานไปที่กล่องแล้วล้วงเงินขึ้นมานับเงินในกล่องที่เกินจำนวนที่โยมขอไว้ แต่โยมท่านนี้ก็ขอรับไปตามจำนวนที่ขอนับว่าโยมมีสัจจะไม่ละโมภ เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้เขียนเกิดศรัทธาว่าหลวงพ่อมีบารมีสามารถเรียกเงินได้
การให้หลวงพ่อเป็นผู้ถือการให้ทาน เป็นข้อดีของท่านและบารมีของท่านได้แผ่ไปยังเด็กเล็กและบุคคลผู้ด้อยโอกาส ท่านเป็นสื่อกลางสำหรับการทำทานญาติโยมและลูกศิษย์เข้ามานมัสการหลวงพ่อมีมากมาย บุคคลเหล่านี้มีฐานนะต่างกันไปตั้งแต่เศรษฐีผู้มีอันจะกิน ผู้มีหน้าที่การงานสูงๆ จนไปถึงชาวบ้านและเด็กยากจนในท้องถิ่น สิ่งนี้ผู้เขียนประทับใจมากก็คือ หลวงพ่อให้ความเมตตาต่อทุกคนเสมอเหมือนกันหมด ญาติโยมทั้งหลายที่ศรัทธาต่อท่านจะไม่มีความรู้สึกต่ำต้อยต่อกัน เมื่อได้อยู่ต่อหน้าหลวงพ่อ มีครั้งหนึ่งมีนายทหารสองคนเข้าไปนมัสการท่าน คนแรกเป็นลูกน้องระดับนายพัน ส่วนนายเป็นระดับนายพล ในการเข้านมัสการของท่านทั้งสองเป็นห้วงเวลาที่มีญาติโยมค่อนข้างมากสักหน่อย นายทหารลูกน้องที่นำเจ้านายมาก็พูดขอทางญาติโยม เพื่อให้เจ้านายได้เข้าใกล้กับหลวงพ่อแล้วก็แนะนำตัวเจ้านายกับหลวงพ่อว่า เจ้านายเป็นใครมีตำแหน่งอะไรให้หลวงพ่อทราบ หลังจากแนะนำจบวลีที่หลวงพ่อต้อนรับเป็นวลีแห่งสัจจะธรรมเตือนให้ญาติโยมที่อยู่ใบบริเวณได้ยินกันถ้วนหน้าว่าเออดีแล้วนายพลนายพันกับชาวบ้านมันก็ตายเหมือนกันหมดหรอก ผู้เขียนได้ยินแล้วต้องก้มลงกราบทันที คิดว่านี่คือกฎของไตรลักษณ์เป็นธรรมะที่คนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยระลึกถึงทั้งที่มีชีวิตต้องเป็นความจริงตามที่หลวงพ่อกล่าว ผู้เขียนจึงได้ธรรมข้อนี้ไว้เตือนใจตลอดมา และพยายามที่จะปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรมและสร้างความดี เมื่อเรายังมีเวลาก่อนที่จะตาย
สำหรับการให้ทานนั้นท่านให้เป็นทานและเป็นสื่อกลางในการให้ทานจากบุคคลที่มีฐานะนำไปเผื่อแผ่ยังผู้ด้อยโอกาส เนื่องจากญาติโยมที่มีฐานะจะนำของมาทำทานได้แก่ ผ้าห่ม มุ้ง หมอน ตลอดจนเครื่องดื่มต่างๆมาถวายหลวงพ่อ ซึ่งหลวงพ่อจะรับและกล่าวว่าดี เป็นของดีทั้งนั้น เช่น ผ้าห่มก็ดีมันจำเป็นเวลาหนาวมันจะช่วยได้ ผู้นำมาถวายก็เกิดปิติยินดีเกิดกุศลในใจตน ท่านเก็บรักษาเครื่องไทยทานเหล่านี้ไว้ เมื่อมีญาติโยมหรือลูกศิษย์ที่มานมัสการท่านบางรายที่มีสภาพยากจนท่านจะเรียกเข้าไปหาแล้วก็ถามว่ามึงมีของใช้หรือเปล่า เวลาอากาศหนาวมึงมีผ้าห่มไหม ถ้ารายใดขัดสนมากท่านก็จะเอาของที่เก็บไว้แจกจ่ายให้กับบุคคลเหล่านั้นโดยมิได้เก็บไว้เลย ผู้เขียนยังแอบสังเกตดูที่ใต้เตียงและนึกอยู่ในใจว่า แล้วหลวงพ่อเล่าไม่หนาวบ้างหรือ เมื่อถึงหน้าหนาวมีผ้าห่มหรือเปล่า แต่ก็เห็นบนเตียงมีแค่จีวรเก่าๆที่เย็บรวมกันเป็นผ้าห่มผืนเดียวนี่แหละที่ผู้เขียนได้พูดในตอนต้นว่าท่านเป็นผู้ให้ทานและเป็นสื่อกลางที่ทำให้ผู้มีอันจะกินได้บริจาคเป็นทานให้กับผู้ยากไร้นี่แหละคือ หลวงพ่อคูณ
ด้วยกุศลกรรมแห่งความดีงามทำให้พระอริยะเจ้าทั้งสององค์ได้พบกันและประกอบกุศลร่วมกัน คุณ เชิดศักดิ์และคุณสมพิทย์ ทั้งสองมีความเลื่อมใสต่อหลวงพ่อมากได้ ปวารณาตัวเป็นลูกศิษย์คอยรับใช้ตลอดมา เลยเป็น อนิสงฆ์ของผู้เขียนในฐานะเป็นพี่เขยรวมทั้งครอบครัวของเราตลอดจนญาติผู้ใหญ่ ก็พลอยได้เข้าร่วมกุศลกรรมทั้งหลายตลอดมา นับตั้งแต่หลวงพ่อมีดำริว่าจะสร้างพระอุโบสถให้กับวัดมะระ(วัดมะระอยู่ในบริเวณเส้นทางระหว่างโคราชไปขอนแก่น) ทางคุณเชิดศักดิ์และคุณสมพิทย์ ก็ได้รับอาสาจัดหาทุนมาสมทบกับหลวงพ่อ โดยการจัดเป็นรูปผ้าป่าบ้างบอกบุญกับญาติผู้ใหญ่และคุณสมพิทย์ เธอก็กว้างขวางอยู่กับกลุ่มธุรกิจพอสมควรเพื่อบอกบุญไป ก็จะมีผู้ร่วมอนุโมทนาตลอด พระอุโบสถที่สร้างให้วัดมะระเป็นพระอุโบสถขนาดเล็ก พอเหมาะต่ออัตราภาพของวัด จึงสร้างเสร็จในเวลาไม่นานนัก เมื่อสร้างเสร็จก็จะมีพิธียกช่อผ้าพระอุโบสถเป็นงานต่อไป |