ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : วิเคราะห์จตุคามรามเทพ # 1

(D)
- สวัสดีครับเพื่อนๆทุกท่าน เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการชะลอตัวของกระแสจตุคามรามเทพอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อนๆหลายท่านต่างก็รอดูว่าทิศทางของกระแสจตุคามรามเทพจะเปลี่ยนไปอย่างไร ดังนั้นเพื่อให้เพื่อนๆได้มีข้อมูลหลายๆด้านในการเช่าบูชาจตุคามรามเทพ ผมจึงมีข้อคิดเห็นมาให้เพื่อนๆดังนี้ครับ
- จตุคามรามเทพแบ่งออกเป็น 4 ยุคคือ ยุค 1.จตุคามรามเทพก่อนปี 2549 ยุค 2 . จตุคามรามเทพ ปี 2549 ยุค 3. จตุคามรามเทพที่พิธีเทวาภิเษกก่อนกลางปี 2550 (ม.ค.-มิ.ย. 50 ) และ ยุค 4. จตุคามรามเทพที่พิธีเทวาภิเษกหลังกลางปี 2550 (ก.ค.-ธ.ค. 50 )
- ยุค 1.กระแสของจตุคามรามเทพของช่วงนี้มีประมาณ 40 รุ่น ยุคต้นๆวงการพระเครื่องได้ยอมรับในทางปฏิบัติแล้วว่ามีการเล่นหาเช่าบูชาเทียบเท่าพระเก่า โดยเริ่มตั้งแต่จตุคามรามเทพ ปี 2530 เรื่อยมาถึง รุ่นบูรณะศาลหลักเมือง ในปี 2547 และจะเล่นกันเบาลงจนถึงรุ่นปลายปี 48 แต่จะสังเกตุได้ว่าถึงกระแสจตุคามรามเทพจะชะลอตัวลงอย่างไร จตุคามรามเทพของช่วงนี้ก็ยังไม่มีผลกระทบเท่าไหร่นัก ถึงจะไม่หวือหวาเหมือนตอนต้นปีนี้ แต่ก็ยังมีการเปลี่ยนมืออยู่ในอัตราที่สูงกว่าพระเก่าเสียอีก โดยราคาอาจจะมีตกลงบ้างในบางรุ่นแต่ก็ยังมีการหมุนเวียนที่ดีเมื่อเทียบกับตลาดพระทั่วไป
- ยุค 2.จตุคามรามเทพ ปี 2549 - ปีนี้มีการสร้างประมาณ 40 รุ่น ที่เด่นขึ้นมาก็คือ รุ่นโคตรเศรษฐี ที่มีการเล่นหาเทียบเท่า ยุค 1 และก็มีรุ่นเด่นๆอีกหลายรุ่นที่ยังคงเล่นหากันเทียบเท่าพระเก่า เช่น รุ่น 9 รอบ 9 พิธี รุ่น 108 ปี ขุนพันธ์ ฯลฯ จตุคามรามเทพช่วงนี้ ควรเลือกรุ่นที่เล่นกันอยู่แล้วในปัจจุบัน ส่วนราคาก็ลดลงบ้างตามกระแสจตุคามรามเทพที่ชะลอตัวในปัจจุบัน จตุคามรามเทพยุคนี้เมื่อถึงปี 2551 จะมีรุ่นที่ฝ่าด่านอรหันต์เข้าไปอยู่ในทำเนียบเหมือนรุ่นโคตรเศรษฐี ไม่เกิน 10 รุ่น.
- ยุค 3.จตุคามรามเทพที่พิธีเทวาภิเษกก่อนกลางปี 2550 (ม.ค.-มิ.ย. 50 ) - ถ้าเพื่อนๆสังเกตุให้ดีจะพบว่า จตุคามรามเทพที่มีกระแสสูงสุดเมื่อตอนต้นปีเป็นต้นมาก็คือ จตุคามรามเทพ ยุค 3 นี้นั่นเองซึ่งแต่ละรุ่นก็มีพิธีพุทธาภิเษกมาหลายๆครั้งในแต่ละรุ่นและพิธีเทวาภิเษกครั้งสุดท้ายในช่วงนี้ พร้อมๆกับผู้จองได้รับจตุคามรามเทพจากผู้สร้าง จตุคามรามเทพ ยุคนี้มีจำนวนหลายร้อยรุ่น ราคาบางรุ่นก็สูงมากๆตั้งแต่เริ่มจอง บางรุ่นก็ไปได้เรื่อยๆ บางรุ่นก็ไม่มีคนรู้จักเลย จตุคามรามเทพ ยุคนี้เป็นช่วงที่น่าสนใจ เพราะว่ามีพุทธพาณิชย์เข้ามาเกี่ยวข้องบ้างแต่ก็ยังไม่เต็มรูปแบบและโดยเฉพาะราคายังไม่แพง มีอนาคตดีในบางรุ่น เพราะฉะนั้นหากเลือกได้ ควรเลือกจตุคามรามเทพยุคนี้ที่มี เจตนาการสร้างและผู้สร้างที่ดี พิธีพุทธาเทวาภิเษกที่ดีและถูกต้อง รูปแบบสวย จำนวนการสร้างที่ไม่มาก มีโค้ด และข้อสำคัญไม่มีสร้างเสริม จตุคามรามเทพยุคนี้เมื่อถึงปี 2551 จะมีรุ่นที่ฝ่าด่านอรหันต์เข้าไปอยู่ในทำเนียบเหมือนรุ่นโคตรเศรษฐี ของปี 2549 ไม่เกิน 10 รุ่น
- ยุค 4 . จตุคามรามเทพที่เทวาภิเษกหลังกลางปี 2550 (ก.ค.-ธ.ค. 50 ) - จตุคามรามเทพ ของช่วงนี้ได้รับอนิสงค์ของกระแสจตุคามรามเทพขาขึ้นเมื่อตอนต้นปีเป็นต้นมา ซึ่งผู้จองจะได้รับพระหลังจากเดือนนี้เป็นต้นไป เป็นจตุคามที่ได้รับผลกระทบจากความรู้สึกโดยรวมว่ากระแสชะลอตัวลงหรือแผ่วลง ผู้จอง จตุคามรามเทพ ยุคนี้จะต้องพิจารณาข้อมูลทั้งหมดของเหมือนยุค 3 อย่างละเอียดถี่ถ้วนและรอบคอบ อย่างที่สุด ซึ่งจตุคามรามเทพ ยุคนี้ เมื่อถึงปี 2551 จะมีรุ่นที่ฝ่าด่านอรหันต์เหมือนรุ่นโคตรเศรษฐี ไม่เกิน 10 รุ่น
-จากกระแสจตุคามรามเทพที่ชะลอตัวลงเร็วกว่าที่หลายๆท่านประเมินไว้ มีสาเหตุหลายประการ เช่น
.....1.มีการสร้างจตุคามรามเทพเป็นจำนวนมากในปี 2550 นี้หลายร้อยรุ่น เมื่อ supply มากขึ้น demand เท่าเดิมหรือลดลงเนื่องจากแต่ละคนก็มีไว้บูชาเป็นคนละหลายๆองค์แล้ว ก็ทำให้กระแสการจองลดลงไม่เหมือนตอนต้นปีที่ออกรุ่นอะไรมาก็แห่จองกันหมดในเวลาไม่กี่วัน ทำให้หลายคนพูดกันว่าจตุคามรามเทพเลิกฮิตหรือจะไม่เล่นกันแล้วแล้ว อันที่จริงแล้วผมว่าน่าจะเป็นการชะลอตัวลงมากกว่าครับ
.....2.ตัวกลางในการสร้างกระแสขาขึ้นขาดสภาพคล่องทางการเงิน อันเนื่องจากจองจตุคามรามเทพไว้มากตั้งแต่ก่อนกลางปี แต่มีการเลื่อนการรับจตุคามรามเทพกันแทบทุกรุ่นมาออกก็ใกล้กลางปีแล้ว ทำให้การประเมินการเงินผิดพลาดขาดสภาพคล่องในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.50 เพราะมีแต่ใบจอง ทำให้ระบบการจองจตุคามรามเทพขาดผู้ร่วมสร้างกระแสขาขึ้น
.....3.ผู้สร้างที่เจตนาไม่ดี สร้างไม่เป็นไปตามที่โฆษณาไว้ ทำให้ผู้จองขาดความเชื่อมั่นที่จะจองต่อไปอีก
.....4.ตามกระแสนิยมของคนไทย ( ไทยมุง ) หากมีกระแสมากๆที่ใด คนไทย (มุง) ไม่เคยพลาด แล้วก็จะค่อยๆสลายตัวไปในที่สุด เหลือแต่ผู้ศรัทธาด้วยใจจริงเท่านั้น ซึ่งกระแสศรัทธานี้เฉพาะคนในวงการพระเครื่องก็มีหลายล้านคนแล้วครับ

จากข้อความข้างต้นนี้เป็นข้อคิดเห็นและทัศนะส่วนตัวเพื่อเป็นข้อมูลให้กับเพื่อนๆสมาชิกไว้เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเท่านั้นครับ หากสมาชิกมีเหตุผลเป็นอย่างอื่นใด หรือที่ไม่เห็นด้วย ก็แล้วแต่วิสัยทัศน์และวิจารณญาณของแต่ละท่านครับ

โดยคุณ หมอเมืองเพชร  [อ. 26 มิ.ย. 2550 - 19:06 น.]



โดยคุณ เอกจิตต์ (1K)  [อ. 26 มิ.ย. 2550 - 19:18 น.] #113885 (1/63)

โดยคุณ tankhun (897)  [อ. 26 มิ.ย. 2550 - 19:25 น.] #113889 (2/63)
ที่2...

โดยคุณ bees319 (20)(1)   [อ. 26 มิ.ย. 2550 - 19:45 น.] #113901 (3/63)
3.

โดยคุณ highway (1.3K)  [อ. 26 มิ.ย. 2550 - 19:55 น.] #113905 (4/63)
no.4

โดยคุณ sak-pol (571)  [อ. 26 มิ.ย. 2550 - 20:00 น.] #113910 (5/63)
ที่ 5....ตามกระแสด้วยคนครับ

โดยคุณ autoo (125)  [อ. 26 มิ.ย. 2550 - 20:00 น.] #113913 (6/63)
คุณ หมอเมืองเพชร ครับ ขออนุญาตปรินไปอ่านและให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่สมาชิก และไม่ได้เล่นอินเตอร์เน็ตอ่านได้ไหมครับ ผมยังไม่ได้ปรินนะครับ รอคำตอบ ขอบคุณครับ

โดยคุณ หมอเมืองเพชร  [อ. 26 มิ.ย. 2550 - 20:15 น.] #113915 (7/63)
คุณ autoo สามารถนำเผยแพร่เป็นข้อมูลได้เลยครับ .

โดยคุณ aotaung (861)(1)   [อ. 26 มิ.ย. 2550 - 20:19 น.] #113917 (8/63)
**คงเหลือเพียงไม่กี่รุ่นอย่างที่พี่หมอว่าจริงๆ............***

โดยคุณ babyraccoon (5.8K)  [อ. 26 มิ.ย. 2550 - 20:26 น.] #113919 (9/63)
รับทราบ

โดยคุณ พจน์27 (38)  [อ. 26 มิ.ย. 2550 - 20:29 น.] #113920 (10/63)
รับทราบ

โดยคุณ เป็ดบางนา (510)  [อ. 26 มิ.ย. 2550 - 20:42 น.] #113927 (11/63)
เห็นจะจริงตามที่คุณหมอเมืองเพชรว่านะครับกระแสจตุคามช่วงนี้อ่อนตัว???อย่างแรง ????

โดยคุณ sawang (596)  [อ. 26 มิ.ย. 2550 - 21:08 น.] #113944 (12/63)
เฮ้อ.........ยุบหนอ.... พองหนอ..... ......... ........

โดยคุณ คนหาดใหญ่ (57)  [อ. 26 มิ.ย. 2550 - 21:32 น.] #113964 (13/63)
ผมเห็นด้วยกับท่านครับ ระยะหลังนี้ผู้สร้างไม่ค่อยมีจริยธรรมเลย

โดยคุณ ขาจรประจำ (622)(1)   [อ. 26 มิ.ย. 2550 - 21:32 น.] #113966 (14/63)
ตามกระแสจตุคามรามเทพ : กรณีเทพบันดาล หรือ ธรรมบันดาล


เกริ่นนำ

กระแสการนับถือองค์จตุคามรามเทพที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง และอย่างต่อเนื่องแบบไม่มีทีท่าว่าจะลดลงอยู่ในเวลานี้ มีคนไทยให้ความสนใจ(ศรัทธา) และเช่าบูชามากถึงมากที่สุด (จนทำให้ในปี ๒๕๔๙ ที่ผ่านมา มีการคำนวณว่าทำให้เกิดเงินหมุนเวียนสะพัดในตลาดนับหมื่นล้านบาท) โดยการเช่าหามาบูชาไว้ประจำตัว มองไปทางไหนๆ ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด สถานที่สาธารณะ ป้ายรถเมล์ ถนนหนทาง โรงแรม โรงเรียน ร้านอาหาร สถานที่ราชการ ฯลฯ ก็มีแต่คนแขวนองค์จตุคามรามเทพเต็มไปหมด แทบจะทุกเพศทุกวัยไม่ว่าจะเป็นลูกเด็กเล็กแดง จนถึงคนแก่คนเฒ่าก็นิยมแขวนกัน (ทั้งแบบโชว์ให้เห็นนอกเสื้อ และที่อยู่ในเสื้อ) ซึ่งมองเห็นแต่ไกลก็สะดุดตาทันที ด้วยรูปลักษณ์ที่ออกแบบสวยงามและใหญ่โตกว่าพระเครื่องใดๆ และในวงสนทนาหรือสภากาแฟเอง นอกเหนือจากจะพูดคุยกันเรื่องการบ้านการเมืองแล้ว ก็หนีไม่พ้นเรื่องจตุคามรามเทพ เรียกว่าเป็นการเพิ่ม “รสชาติ” ให้วงสนทนาได้ครึกครื้นขึ้นไปอีก ยิ่งไปกว่านั้น ทราบว่าขณะนี้กระแสการนับถือองค์จตุคามรามเทพยังได้รับความนิยม หรือ “ฮิต” ไปถึงต่างประเทศด้วย (เรียกว่า “โกอินเตอร์”) เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง เป็นต้น

มีคนกล่าวว่า ในยุคสมัยที่บ้านเมืองกำลังสับสนวุ่นวาย เศรษฐกิจกำลังจ่อปากเหว เงินบาทจะแข็งค่า น้ำมันจะแพง รายได้รัฐเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้า เงินคงคลังร่อยหรอ ประชาชนรอความช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ ความเดือดร้อนลามถึงปากท้อง ประชาชนเริ่มรู้สึกว่าถูกปล่อยให้เผชิญโชคกันตามยถากรรม คนไร้ที่พึ่งจึงต้องหันมายึด “วัตถุมงคล”

อันที่จริง คนไทยกับวัตถุมงคล (คำว่า “วัตถุมงคล” ในบทความนี้จะหมายรวมถึงพระเครื่องทุกชนิด (ได้แก่เหรียญหล่อ เหรียญปั๊ม พระกริ่ง พระผง พระกรุ พระสมเด็จ ฯลฯ) พระบูชา ภาพถ่าย ภาพวาด รวมทั้งเครื่องรางของขลังอื่น ๆ เช่น มีดหมอ เบี้ยแก้ ปลัดขิก ตะกรุด ผ้าประเจียด แผ่นยันต์ เสื้อยันต์ เขี้ยวหมูตัน เขี้ยวเสือ สีผึ้ง อิ้น แม่เป๋อ ฯลฯ ด้วย) นับว่าเป็นของคู่กันมาช้านานตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว สังเกตได้จากเมื่อเกิดศึกสงคราม คนไทยหรือทหารไทยก็ได้อาศัยวัตถุมงคลเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวหรือสร้างขวัญกำลังใจในการต่อสู้กับข้าศึก จนสามารถกู้ชาติบ้านเมืองได้สำเร็จก็หลายครั้ง (แต่คนที่อาศัยวัตถุมงคล เพื่อจุดประสงค์อื่น (ที่ไม่ใช่เพื่อกู้ชาติบ้านเมือง) ก็มีมากเหมือนกัน) และกระแสการนับถือวัตถุมงคลเหล่านั้นก็ยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายจนถึงปัจจุบัน แต่อาจจะมากน้อยกว่ากันตามยุคสมัยและความนิยมในวัตถุมงคลนั้นๆ

ณ เวลานี้ วัตถุมงคลที่ได้ชื่อว่ามีกระแสการตอบรับมากที่สุด และแพร่หลายกว้างขวางที่สุดอย่างที่ไม่เคยปรากฏในวัตถุมงคลใด ๆ มาก่อน (ยืนยันว่าไม่เคยปรากฏมาก่อน) เห็นจะไม่มีวัตถุมงคลใดเกิน “จตุคามรามเทพ” เพราะในช่วงเวลาสั้น ๆ (ถ้านับตั้งแต่ปี ๒๕๓๐ ซึ่งเป็นปีแรกที่มีการจัดสร้าง จนถึงบัดนี้ก็นับได้ ๒๐ ปี ถือเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก เมื่อเทียบกับระยะเวลาที่มีการสร้างวัตถุมงคลมาตั้งแต่สมัยอดีต) มีการจัดสร้างมากมายหลายรุ่น คาดว่าขณะนี้มีไม่ต่ำกว่า ๔๐๐ รุ่น ทั่วประเทศ และที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช (รวมทั้งที่ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช) ซึ่งเป็นจุดกำเนิดขององค์จตุคามรามเทพ ก็มีคิวการปลุกเสกยาวเหยียดไปจนถึงต้นปี ๒๕๕๑ เลยทีเดียว ซึ่งทราบมาว่า มีพิธีกรรมปลุกเสกไม่น้อยกว่าวันละ ๓ รุ่น จากภาคต่างๆ ของประเทศทยอยเข้าไปทำพิธีปลุกเสกในวัด (ความจริง แต่ละรุ่นก็มีการประกอบพิธีปลุกเสกในหลายแห่งหลายที่ รวมทั้งบนเครื่องบิน บนเรือรบหลวงกลางทะเลเป็นต้น แต่ที่นิยมและขาดเสียไม่ได้ ก็คือที่วัดพระมหาธาตุ ฯ นี้ด้วย) และคาดว่ากว่าจะสิ้นปี อาจมีผู้มาขอใช้วัดเป็นสถานที่ปลุกเสกมากถึง ๘๐๐ ราย (๘๐๐ รุ่น) และก็แปลกที่แม้จะมีการสร้างมากมายหลายร้อยรุ่น เป็นจำนวนเป็นล้านๆ ชิ้น แต่ก็ยังเป็นที่ต้องการของคน และราคาก็ไม่เคยตกเลย !

ความจริง วัตถุมงคลจตุคามรามเทพมีการจัดสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๓๐ (พระผงสุริยัน – จันทรา) โดยมีท่านขุนพันธ์ (พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช) สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นผู้ริเริ่มหรือต้นตำรับในการจัดสร้าง เพื่อหาทุนเอามาสร้างศาลหลักเมือง สนนราคาที่ ๓๙ บาท สำหรับองค์เล็ก และ ๕๙ บาท สำหรับองค์ใหญ่ แต่ตอนนั้นยังไม่แพร่หลายหรือเป็นที่รู้จัก-สนใจเท่าที่ควร เรียกว่า “แจกฟรียังโกรธ” เพิ่งมาบูมเมื่อประมาณ ๒-๓ ปี มานี้เอง จนทำให้ขณะนี้ ทราบว่ารุ่นแรกมีราคาพุ่งขึ้นถึงหลักแสนปลายๆ หรืออาจถึงหลักล้านแล้ว (และรุ่นที่สร้างต่อๆ มา บางรุ่นก็มีราคาสูงขึ้นมากกว่าราคาที่ออกให้เช่าตอนแรกหลายเท่าตัว จนทำให้คนบางกลุ่มไปเช่าเก็บตุนไว้ “ปล่อย” เพื่อเก็งกำไรในอนาคต) ส่งผลให้ตลาดพระเครื่องแตกตื่นอย่างไม่เคยมีมาก่อน และมีการจัดสร้างอย่างแพร่หลายทั่วประเทศอยู่ในขณะนี้ จนกลายเป็นธุรกิจ “เทวามาร์เก็ตติ้ง” หรือ “เทวพาณิชย์” ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและทำเงินอย่างมหาศาล มีเงินสะพัดเป็นหมื่น ๆ ล้านบาท (จนกรมสรรพากรจ้องเก็บภาษี) แผงพระเครื่อง(เก่า) แทบทุกแผงก็หันมาวางจตุคามรามเทพเสริมเข้าไปด้วย (หรือบางแห่งก็เก็บพระเก่าไว้ก่อน เปิดให้เช่าบูชาจตุคามรามเทพแทน) และมีแผงจตุคามรามเทพใหม่ๆ ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ทั้งในห้างสรรพสินค้า (เช่น ห้างดิโอลด์สยาม พาหุรัด, ห้างพาต้าปิ่นเกล้า ฯลฯ), ห้างทอง (ร้านทอง), แผงพระตามถนนหนทางหรือริมฟุตบาท ทั้งในกรุงเทพมหานคร (เช่น ท่าพระจันทร์) และต่างจังหวัด รวมทั้งในเว็บไซต์ต่าง ๆ (เช่น www.jatukarm.com, www.ramthep.com, www.jatukarm-ramatep.com, www.jatukamrammathep.com, www.g-pra.com เป็นต้น) ก็มีการ “เช่าหา-ซื้อขายแลกเปลี่ยน” หรือ “ประมูล” กันอย่างคึกคัก ทำให้ธุรกิจพระเครื่องที่กำลังซบเซาฟื้นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว (แต่ในขณะเดียวกัน ก็มี “ของปลอม” “ของเก๊” หรือ “ของเสริม” ออกมาระบาดวุ่นตลาดเช่นกัน) ส่งผลให้ธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเติบโตไปด้วยตามมาอย่างเป็นวงจร (เป็นเงินหมุนเวียนในระบบที่เรียกว่า “จตุคามโนมิกส์”) เช่น ธุรกิจการปัดทอง เพ้นต์สีองค์จตุคามรามเทพ ซึ่งบางคนยอมรับว่ามีรายได้นับหมื่นถึงแสนบาทต่อเดือน กิจการตลับพระกรอบพระ ร้านเลี่ยมพระ ร้านทอง โรงรับจำนำ ธุรกิจสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือพระ หนังสือพิมพ์ (เพราะต้องมีการโฆษณา) ธุรกิจการท่องเที่ยว (อย่างการจัดทัวร์ “ตามรอยขุนพันธรักษ์ราชเดช” ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) โรงแรม ร้านอาหาร ธุรกิจบันเทิง สายการบิน (โดยเฉพาะที่ จ.นครศรีธรรมราช) เสื้อ หมวก พ็อคเก็ตบุ๊ก (อย่างพ็อคเก็ตบุ๊กเกี่ยวกับขุนพันธรักษ์ราชเดชและจตุคามรามเทพกลายเป็นหนังสือติดอันดับขายดีของร้านหนังสือทั่วไป) โปสเตอร์ คัตเอาต์ ฯลฯ รวมทั้งธุรกิจอื่น ๆ เช่นร้านขายมอเตอร์ไซค์บางร้านก็งัดกลยุทธ์แหวกแนวด้วยโปรโมชั่นแจกวัตถุมงคลจตุคามรามเทพฟรีให้แก่ลูกค้าที่มาซื้อรถมอเตอร์ไซค์ทุกรุ่นทุกยี่ห้อ ซึ่งก็ปรากฏว่ามีคนแห่ไปซื้อรถกันจำนวนมาก ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ เป็นภาพสะท้อน “จตุคามฯ ฟีเวอร์” ได้ดีที่สุด และปรากฏการณ์ดังกล่าว (ปรากฏการณ์ “จตุคามฯ ฟีเวอร์”) มีจุดเริ่มต้นมาจาก “ความศรัทธา” หรือ “ความเชื่อ” เป็นสำคัญ เป็นความเชื่อที่เดิมไม่มีต้นทุน (หรือมีน้อย) แต่กลับมี “มูลค่าเพิ่ม” สูงมากทางเศรษฐกิจ เพราะจากวัตถุมงคลที่มีต้นทุนต่อหน่วยไม่กี่สิบบาทแต่สามารถเพิ่มมูลค่าเป็นหลักพันจนถึงหลักล้านบาทได้เพราะ “ความเชื่อ” เป็นความเชื่อที่ “มีราคา” นั่นเอง

และมีข้อสังเกตอย่างหนึ่งว่า การสร้างจตุคามรามเทพแต่ละรุ่นนั้น ส่วนใหญ่มักตั้งชื่อไปในทางที่เป็นมงคล ช่วยดลบันดาลให้มีโชคมีลาภ มีเงินทองร่ำรวยเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เช่น รุ่นโคตรเศรษฐี โคตรรวย โคตรมหารวย รวยทั้งโคตร รวยรวยรวย สมหวังร่ำรวย อภิมหาเฮง คลังเศรษฐี ดวงเศรษฐี เศรษฐีทวีทรัพย์ เจ้าสัว เจริญโภคทรัพย์ ทรัพย์หมื่นล้าน เงินไหลกองทองไหลมา รวยนิรันดร์ มั่งมีเงินทอง ฯลฯ

การนับถือจตุคามรามเทพ รวมทั้งวัตถุมงคลอื่น ๆ เป็นเรื่องของศรัทธา ที่สำคัญต้องมีขอบเขต ไม่ทำให้ตนเดือดร้อน เช่น เสียเงินค่าเช่าแพง ๆ (รวมทั้งที่ถูกโก่งราคาเช่าแพงลิบลิ่ว) ทำให้ตนและครอบครัวต้องเดือดร้อน โดยเฉพาะช่วงกลางเดือน หรือช่วงโรงเรียนเปิดเทอม ต้องระมัดระวัง) ให้นึกถึงความจำเป็นด้วย ไม่คลั่งไคล้เกินไปจนทำให้สิ้นเปลืองเงินทองในการเช่าบูชาเป็นจำนวนมากๆ หรือต้องเอาชีวิตไปแลก (เพราะถูกเหยียบตายอย่างที่ปรากฏเป็นข่าวทางหนังสือพิมพ์) ที่สำคัญที่สุด ก็คือต้องมีปัญญากำกับด้วย เพราะหากมีแต่ศรัทธา ไม่มีปัญญากำกับแล้วก็มีแต่งมงายเท่านั้นเอง บางกลุ่มนับถือตามคนอื่นเขา แขวนคอเพียงเพื่ออวดคนอื่น แขวนทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เป็นใคร มีประวัติเป็นมาอย่างไร เห็นคนอื่นบูชาก็บูชาไปตามเขา เรียกว่าเป็น “แฟชั่น” แบบนี้ก็มีไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนไม่น้อยที่นับถือจตุคามรามเทพ และวัตถุมงคลอื่น ๆ เพื่อหวังให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น (นอกเหนือจากเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจ) ช่วยดลบันดาลให้ได้ในสิ่งที่ตนปรารถนา หรือ หวังพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นจากสิ่งเหล่านั้น เช่น ให้มีโชคลาภร่ำรวยเป็นเศรษฐีมีเงินเป็นล้าน ให้มีแต่คนรักคนชอบเป็นเมตตามหานิยม (เข้าทำนอง “ชายเห็นชายรัก หญิงเห็นหญิงหลง”) มีความคงกระพันชาตรียิงไม่ออกฟันแทงไม่เข้า (คล้าย ๆ ต้องการเป็นอมตะ) แคล้วคลาดปลอดภัยจากอุบัติเหตุเภทภัยทั้งปวง ให้มีความสำเร็จเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานการศึกษา ฯลฯ

จริงอยู่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอยู่จริง และ “ปาฏิหาริย์” หรืออำนาจลี้ลับเหนือธรรมชาติที่ปรากฏออกมาจากสิ่งเหล่านั้นก็ (อาจ) มีอยู่จริง ด้วยอาศัยการที่ผู้บูชาประสบด้วยตนเองบ้าง (ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากสิ่งเหล่านั้นดลบันดาลให้) หรือจากการฟังเสียงร่ำลือจากคนอื่นบ้าง เพราะหากไม่มีอยู่จริง ทหารไทยในอดีตก็คงไม่ได้ชื่อว่าเป็น “ทหารผี” เพราะถูกยิงไม่เป็นไร เพียงแค่กระเด็นล้มลงไปตามแรงกระสุน แล้วก็ลุกขึ้นมาต่อสู้ใหม่ได้ เพราะมี “ของขลัง” อยู่กับตัว
เทพบันดาล - ธรรมบันดาล

ศาสนาพุทธเราเป็นศาสนาแห่งเหตุผล เป็นศาสนาแห่งการกระทำ ไม่ใช่ศาสนาแห่งการอ้อนวอน ถ้ามัวแต่หวังให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้ ที่เรียกว่ารอ “เทพบันดาล” แต่ตัวเราไม่ทำเหตุที่จะให้ได้ผลอย่างนั้นเลย ก็คงไม่สำเร็จ ดังนั้น เพื่อให้บทความนี้ไม่ยืดเยื้อเกินไป ขอเสนอว่า ถ้าอยากจะให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้ในสิ่งที่ปรารถนา เราก็ต้องลงมือกระทำด้วย เป็นการสร้างเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้น โดยใช้หลักธรรมช่วย ที่เรียกว่า “ธรรมบันดาล” กล่าวคือ

๑. ต้องการมีโชคลาภร่ำรวยเป็นเศรษฐีมีเงินเป็นล้าน ความจริง คนที่เกิดมาร่ำรวย ท่านว่าเป็นเพราะอำนาจของบุญกุศลที่เคยทำมาแต่ชาติปางก่อน เรียกว่ามีทุนเดิมที่เคยสะสมไว้อยู่ก่อนแล้ว เหมือนมีเงินฝากไว้ในธนาคารแล้ว จึงส่งผลให้ชาตินี้มีโชคลาภมีทรัพย์สินเงินทอง (นี้ไม่พูดถึงที่ร่ำรวยเพราะทุจริตคอร์รัปชั่น) และในชาตินี้ ก็ต้องอาศัยหลักทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ที่เรียกว่า “หัวใจเศรษฐี” มีอักษรย่อว่า อุ อา กะ สะ
๑.๑ อุ ย่อมาจาก อุฏฐานสัมปทา ได้แก่ ขยันหมั่นเพียรในการแสวงหาทรัพย์ ไม่เกียจคร้าน หนักเอาเบาสู้
๑.๒ อา ย่อมาจาก อารักขสัมปทา ได้แก่ รู้จักรักษาทรัพย์ที่แสวงหามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร ไม่ให้มีอันตรายสูญหายไปกับอบายมุขเป็นต้น
๑.๓ กะ ย่อมาจาก กัลยาณมิตตตา ได้แก่ คบเพื่อนที่ดี ไม่คบเพื่อนที่ชักชวนไปในทางฉิบหาย เช่น ชวนดื่มน้ำเมา ชวนเล่นการพนันเป็นต้น
๑.๔ สะ ย่อมาจาก สมชีวิตา ได้แก่ เลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หามาได้ รู้จักกำหนดรายรับและรายจ่าย ไม่ให้สุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือยหรืออัตคัดขัดสนจนเกินไป ให้รู้จักออมเงินไว้ใช้จ่ายในยามจำเป็น ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง
ธรรมข้อนี้ นับว่ามีความสำคัญในการสร้างเนื้อสร้างตัว เพราะแม้จะแขวนจตุคามรามเทพ รุ่นโคตรเศรษฐี หรืออภิมหาโคตรเศรษฐี เป็นต้น และแขวนอยู่อย่างนั้นเป็นเดือน ๆ เป็นปี ๆ แต่ถ้าเกียจคร้านทำงาน เอาแต่งอมืองอเท้า วัน ๆ ไม่รู้จักทำมาหากิน หรือไม่รู้จักรักษาทรัพย์สินที่หามาได้ไว้ให้ดี ฯลฯ ก็ฟันธงได้เลยว่าไม่มีวันร่ำรวยเป็นเศรษฐีขึ้นมาได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น บางคนแขวนจตุคามรามเทพแล้ว ก็ไปหวังโชคลาภจากการเล่นหวยบ้าง การพนันบ้าง (แขวนจตุคามฯ เข้าบ่อนการพนันก็มี) แบบนี้ก็คงเรียกว่า ไปสู่อบายมุข คือทางแห่งความเสื่อม(ทรัพย์) แน่นอน อย่าว่าแต่ไม่ร่ำรวยขึ้นมาได้เลย แต่อาจถึงขั้นหมดเนื้อหมดตัวเลยทีเดียว ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมานักต่อนักแล้ว

๒. ต้องการให้มีแต่คนรักคนชอบ เป็นเมตตามหานิยม (เข้าทำนอง “ชายเห็นชายรัก หญิงเห็นหญิงหลง”) ต้องยึดหลักสังคหวัตถุ หมายถึงหลักธรรมที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของผู้อื่น ผูกไมตรี เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล เป็นหลักการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน มีอยู่ ๔ ประการ
๒.๑ ทาน ได้แก่ รู้จักเสียสละ เอื้อเฟื้อแบ่งปันของ ๆ ตนเพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่น ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ไม่เห็นแก่ได้ฝ่ายเดียว
๒.๒ ปิยวาจา ได้แก่ พูดจาไพเราะอ่อนหวาน พูดด้วยความจริงใจ ไม่พูดก้าวร้าว พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ถูกกาลเทศะ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดส่อเสียด
๒.๓ อัตถจริยา ได้แก่ ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
๒.๔ สมานัตตตา ได้แก่ มีความประพฤติเสมอต้นเสมอปลาย วางตัวสม่ำเสมอ
ธรรมข้อนี้ ช่วยให้ยึดเหนี่ยวน้ำใจกันไว้ได้ ช่วยให้คนนิยมชมชอบรักใคร่ ตรงกันข้าม ถ้าเป็นคนเห็นแก่ตัว หรือพูดจาหยาบคายเป็นต้น ฯลฯ แม้จะแขวนพระขุนแผนเต็มคอ ใช้สีผึ้งมหาเมตตา หรือลงสาริกาลิ้นทอง เป็นต้น ก็คงช่วยอะไรไม่ได้ (มีแต่คนเกลียดแน่) หรือคนที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าอยากให้คนมาอุดหนุนสินค้าของตนให้มาก ก็ต้องซื่อสัตย์จริงใจต่อลูกค้า (ยึดหลัก “สัจจะ - ซื่อสัตย์ จริงใจ ไม่หลอกลวง) ไม่เอาของบูดของเสีย หรือของไม่มีคุณภาพ (แต่บอกว่าดีเยี่ยม) มาขาย หรือไม่ก็ต้องทำอาหารให้มีรสชาติเอร็ดอร่อย ไม่มุ่งแต่ปริมาณจนลืมคุณภาพ รวมทั้งพูดจาไพเราะอ่อนหวานต่อลูกค้า รู้จักเอาใจลูกค้าเข้าไว้เป็นต้น มิเช่นนั้นแล้ว แม้จะบูชานางกวักทุกเช้าค่ำ ก็คงเรียกลูกค้าไม่ได้ หรือคนที่อยากให้เจ้านาย ผู้บังคับบัญชา ผู้หลักผู้ใหญ่ รักใคร่เอ็นดู ให้การสนับสนุนส่งเสริมอุ้มชู ก็ต้องมี “คารวธรรม” และ “นิวาตธรรม” คือมีความเคารพนบนอบ อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่กระด้างกระเดื่อง ว่านอนสอนง่ายไม่ดื้อดึง ส่วนเจ้านาย ฯลฯ อยากให้ลูกน้องมีความเคารพยำเกรง เต็มใจที่จะทำงานให้เรา ก็ต้องมีพรหมวิหารธรรม คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ยึดหลักครองคนให้ดี หรือคนที่เป็นนักแสดง นักพูด นักเทศน์ นักบรรยาย อยากให้ผู้ชมผู้ฟังนิยมชมชอบ ก็ต้องมีความตั้งใจจริง มีการพัฒนาความสามารถของตนไปเรื่อย ๆ มีวินัย มีความรับผิดชอบในการแสดง พูดจาไพเราะอ่อนหวาน ไม่พูดส่อเสียด กระทบกระทั่งผู้ฟัง หรือไม่นินทา หรือใส่ร้ายป้ายสีโจมตีใคร (หลัก “อนูปวาโท”) เป็นต้น ทำได้ดังนี้ ก็ย่อมจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนปรารถนาได้ไม่ยาก หรือคนที่ทำหน้าที่ของตนอย่างสมบูรณ์ เช่น บุตรที่กตัญญูต่อพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ไม่ละทิ้ง “เทพ” หรือ “พระ” ประจำบ้านของตน เฝ้าเลี้ยงดูท่าน ไม่ทอดทิ้ง เชื่อฟังคำสอนท่าน ไม่ทำให้ท่านต้องเจ็บช้ำน้ำใจเพราะการกระทำนอกลู่นอกทางของตนเอง ก็ย่อมมีแต่คนรักใคร่เอ็นดู สรรเสริญยกย่องว่าเป็นลูกกตัญญู แต่ถ้าบุตรมีพฤติกรรมตรงข้ามดังกล่าว แม้จะแขวนหรือบูชาเทพใดๆ ก็คงไม่มีใครสรรเสริญว่าเป็นลูกกตัญญู คงมีแต่คนสาปแช่งดูหมิ่นเหยียดหยาม

๓. ต้องการเป็นคงกระพันชาตรี ยิงไม่ออกฟันแทงไม่เข้า (คล้าย ๆ ต้องการเป็นอมตะ) แคล้วคลาดปลอดภัย คนจะมีอายุยืนหรืออายุสั้น ความจริงมีกล่าวไว้ในจูฬกัมมวิภังคสูตร กล่าวคือคนที่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต (ในชาติปางก่อน) เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้จึงเป็นคนอายุสั้น เช่น ตายในระหว่างอายุยังน้อยบ้าง หรือถูกเขาฆ่าตายบ้าง ส่วนคนที่ไม่ฆ่าสัตว์ แต่มีเมตตาต่อสัตว์ เกิดมาในชาตินี้ก็เป็นคนอายุยืน
ความจริงแล้ว มนุษย์เราไม่ว่าจะเกิดในชาติไหน ๆ ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของการไม่เบียดเบียนกันและกัน ยึดหลัก “อหิงสา” หรือ “เมตตา” ต่อสรรพสัตว์ทุกถ้วนหน้า ไม่เข่นฆ่าเบียดเบียนทำร้ายกัน หรือยึดมั่นในศีล ๕ (เช่นเว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการประพฤติผิดในลูกเมียของผู้อื่นเป็นต้น) ก็เชื่อว่าจะช่วยให้มนุษย์มีอายุยืนยาว ไม่ต้องคอยหวาดระแวงว่าจะมีใครมาเข่นฆ่าทั้งสิ้น ข้อนี้นับว่าสำคัญไม่น้อย เพราะถ้ามนุษย์ไม่มีธรรมกำกับอยู่ในใจแล้ว ก็มีแต่จะเข่นฆ่ากันไม่เว้นแต่ละวัน หรือถ้าประพฤติการชั่ว พระก็คงไม่คุ้มครองแน่ สักวันต้องพบจุดจบ และเมื่อนั้น แม้จะแขวนวัตถุมงคลที่มีพุทธคุณโดดเด่นในด้านคงกระพันชาตรีเต็มคอก็ต้องตายสิ้น ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมานักต่อนักแล้ว

อนึ่ง คนเราหากถึงคราวตาย ก็คงหนีไม่พ้น เข้าทำนองว่า “หากไม่ถึงคราวตายวายชีวาตม์ ใครพิฆาตเข่นฆ่าไม่อาสัญ หากถึงคราวตายวายชีวัน ไม้จิ้มฟันแทงเหงือก ยังเสือ…กตาย" เพราะฉะนั้น จะไปกลัวอะไรกับความตาย เกิดมาแล้วก็ต้องตายด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ช้าก็เร็ว ไม่มีใครเลยจะอยู่เป็นอมตะ และถ้าเคยฆ่าคนอื่นไว้ (ไม่ว่าในอดีต – อดีตชาติหรือปัจจุบัน) ก็ต้องยอมรับกรรม เป็นการชดใช้กันไป

๔. ต้องการเดินทางไปไหนมาไหนแคล้วคลาดปลอดภัย ไม่มีอันตรายใด ๆ (ดูข้อ ๓. ประกอบด้วย) ในการเดินทางไปไหนมาไหน ไม่ว่าทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ มักเกิดอุบัติ และมีข่าวปรากฏตามสื่ออยู่บ่อย ๆ อย่างช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ก็มีคนเสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก ธรรมที่ช่วยส่งเสริมหรือป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ก็คือหลัก “อัปปมาทธรรม” ได้แก่การไม่ประมาท เช่น ตรวจสอบยานพาหนะนั้นๆ ให้ดีว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์หรือไม่ ไม่ดื่มหรือเสพของมึนเมาในขณะขับขี่ (ยึดศีล ๕ ข้อสุราเมรัย) ขับขี่ตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด สวมหมวกหรือรัดเข็มขัดให้เรียบร้อย ไม่ขับเร็วเกินไป ฯลฯ มีสติสัมปชัญญะอยู่เสมอ ถ้าทุกคนทำได้เช่นนี้ก็เชื่อว่าปลอดภัยไม่มีอุบัติเหตุแน่นอน ตรงกันข้าม คือหากประมาท โอกาสถึงป่าช้าก็มีมาก แม้จะแขวนหรือบรรทุกพระเครื่องไว้ในรถเป็นหมื่น ๆ องค์ ท่านก็คงช่วยไม่ได้

๕. ต้องการประสบความสำเร็จในการศึกษา เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งเลื่อนขั้นเงินเดือน ธรรมที่ช่วยส่งเสริมได้ดีหมวดหนึ่ง ก็คือหลักอิทธิบาท ๔
๕.๑ ฉันทะ ได้แก่ พอใจในการศึกษาเล่าเรียน ในงานนั้น
๕.๒ วิริยะ ได้แก่ ขยันศึกษาเล่าเรียน ขยันทำงานโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย หนักเอาเบาสู้
๕.๓ จิตตะ ได้แก่ เอาใจใส่ฝักใฝ่ในการศึกษาเล่าเรียนในการทำงาน ไม่ทอดทิ้งเสียกลางคัน
๕.๔ วิมังสา ได้แก่ หมั่นพิจารณาตรวจสอบข้อบกพร่องของตนเอง ในการเรียน การทำงาน เพื่อปรับปรุงพัฒนาแก้ไขให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
นอกจากนี้ ก็มีหลักธรรมอื่นๆ อีก เช่น หลักยโสวัฑฒนธรรม (ธรรมที่ช่วยให้เจริญยศ) ๗ ประการ ได้แก่ อุฏฐานะ (ขยันหมั่นเพียรไม่ทอดธุระ) สติ (มีสติระลึกได้ก่อนทำพูดสิ่งใดๆ) สุจิกัมมะ (ทำงานที่สะอาดสุจริต) นิสัมมการี (ใคร่ครวญไตร่ตรองให้ดีก่อนทำเสมอ) สัญญตะ (มีความระมัดระวังตลอดเวลา) ธัมมชีวี (เลี้ยงชีพในทางที่ชอบประกอบด้วยธรรม) อัปปมัตตะ (ไม่ประมาทเลินเล่อมัวเพลินในสิ่งไร้ประโยชน์) ดังพุทธภาษิตที่ว่า อุฏฺ&#63232านวโต สติมโต สุจิกมฺมสฺส นิสมฺมการิโน สญฺ&#63247ตสฺส จ ธมฺมชีวิโน อปฺปมตฺตสฺส ยโสภิวฑฺฒติ แปลว่ายศย่อมเจริญแก่ผู้มีความหมั่น มีสติ มีการงานสะอาด ใคร่ครวญแล้วทำ ระวังดีแล้ว เป็นอยู่โดยธรรม และไม่ประมาท เป็นต้น

ธรรมดังกล่าวช่วยให้ประสบความสำเร็จในการศึกษาเล่าเรียน ในการทำงาน อย่างแน่นอน โดยไม่ต้องมัวไปหวังผลจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ คือสามารถสร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นด้วยตัวของเราเอง ตรงกันข้าม หากไม่ยึดหลักธรรมนี้แล้ว แม้จะแขวนจตุคามรามเทพ หรือพระพิฆเนศเป็นสิบ ๆ องค์ ก็คงต้องล้มเหลวแน่นอน

ความปรารถนาของคนที่นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คงมี ๕ เรื่องหลัก ๆ ดังกล่าว (หรืออาจมีอีก แต่ขอเสนอเพียง ๕ ประการ) ซึ่งก็มีสมหวังบ้าง ไม่สมหวังบ้าง เป็นราย ๆ หรือเป็นกรณี ๆ ไป (กรณีที่มัวแต่รอความกรุณาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะดลบันดาลให้) จึงขอสรุปว่า จะนับถือเทพเจ้า หรือนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ในโลกนี้ ก็นับถือไปเถอะครับตามความเชื่อความนิยมชมชอบของแต่ละคน ที่สำคัญต้องมีปัญญากำกับด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการงมงาย อาจถูกหลอกหรือชักจูงได้ง่าย และที่สำคัญที่สุด ก็คือเมื่อต้องการให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยดลบันดาลในสิ่งที่ปรารถนา ที่เรียกว่าอาศัย “เทพบันดาล” แล้ว อย่าลืมลงมือกระทำเองด้วย เพราะที่พึ่งภายนอกหรือมัวแต่รอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยดลบันดาลให้ก็คงพึ่งได้ไม่ตลอดไป แต่การพึ่งตนเองคือยึดหลักธรรมหรือหลักการ ที่เรียกว่า “ธรรมบันดาล” ที่ได้นำเสนอไปดังกล่าวด้วย จึงจะได้ผลแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่เช่นนั้นแล้ว ความศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ของวัตถุมงคลหรือพระเครื่องใด ๆ ก็คงไม่เกิดขึ้น และสิ่งที่เราแขวนหรือบูชาอยู่นั้น ก็คงไม่ต่างอะไรกับเศษดิน หิน ทราย ไม้ โลหะ ฯลฯ เท่านั้นเอง

บทสรุปส่งท้าย

เทพหรือเทวดา มีกล่าวไว้ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาหลายแห่ง (อย่างเทพในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น) ซึ่งมีทั้งเทพที่ดีและไม่ดี เฉพาะองค์จตุคามรามเทพก็เป็นเทพที่ดีองค์หนึ่ง ซึ่งพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) พระสงฆ์ผู้เป็นนักปราชญ์แห่งพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงว่า “...เทพองค์นั้น (จตุคามรามเทพ) เป็นชาวพุทธที่ดี มีศรัทธามาทำหน้าที่ปกปักรักษาพระพุทธศาสนา มาบำเพ็ญความดี นับเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าชาวพุทธควรจะบำเพ็ญความดีอย่างเทพองค์นี้ ไม่ใช่ว่าเทพจตุคามฯ ทำความดี แต่คนคอยฉวยโอกาสเอาผลประโยชน์จากการทำความดีของเทพ ชาวพุทธควรเอาเทพที่ดีมาช่วยประกันใจตัวให้มั่นคงไม่หวาดหวั่นพรั่นกลัว และปลุกใจตัวให้มีกำลังใจเข้มแข็งที่จะทำการดีงามให้สำเร็จ ร่วมขบวนกับเทพนั้นในการบำเพ็ญความดีตลอดจนบารมีต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้..." จากข้อความนี้ แสดงว่าท่านไม่ได้ปฏิเสธหรือตำหนิเทพจตุคามรามเทพ แต่ตำหนิ "คน" ที่เรียกตนเองว่าชาวพุทธ แต่คอยฉวยโอกาสเอาผลประโยชน์จากการทำความดีของเทพต่างหาก แต่/และท่านก็ได้แนะนำ “ท่าที” ต่อจตุคามรามเทพไว้อย่างมีหลักเหตุผล อนึ่ง การบูชาพระ (วัตถุมงคล) ก็เพื่อเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ คอยเตือนสติเราให้ละชั่ว ทำแต่ความดี นอกจากนั้น การนับถือเทพ (ที่ดี) ในทางพระพุทธศาสนา ก็จัดเป็นอนุสติอย่างหนึ่งใน ๑๐ อย่าง คือ เทวตานุสติ หมายถึงระลึกถึงเทวดา คือ น้อมจิตระลึกถึงเทวดาทั้งหลายที่ตนเคยรู้ และพิจารณาเห็นคุณธรรมอันทำบุคคลให้เป็นเทวดานั้นๆ ตามที่มีอยู่ในตน, พิจารณาถึงบุญกุศลต่างๆ ที่ทำให้เกิดเป็นเทวดาแล้วระลึกถึงบุญกุศลต่างๆ ที่ตนได้ทำไว้แล้วอันจะส่งผลให้ได้เกิดเป็นเทวดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องยึดหลักหิริ (ความละอายแก่ใจที่จะทำชั่ว) และโอตตัปปะ (ความสะดุ้งกลัวต่อผลของความชั่ว) อันถือเป็น“เทวธรรม” (ธรรมของเทวดา) หรือธรรมที่จะช่วยหรือทำให้คนเป็นเทวดานั่นเอง

จึงสรุปว่า หากจะนับถือองค์จตุคามรามเทพ (หรือ เทพในศาสนาอื่น เช่น พระพรหม พระนารายณ์ พระพิฆเนศ ฯลฯ) และวัตถุมงคลอื่นๆ ก็ย่อมทำได้ (เพราะคนไทยทำมานานแล้ว) แต่จะต้องไม่ละทิ้ง “หลักการ” หรือ “หลักความจริง” (สัจธรรม) ทางพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ที่พึ่งหลัก”คือ พระรัตนตรัย (ส่วนสิ่งอื่นๆ ที่เข้าใจหรือสำคัญว่าเป็นที่พึ่ง ก็ให้ถือเป็นที่พึ่งรองๆ ลงไป แต่ต้องถือพระรัตนตรัยเป็นหลัก) อันเป็นที่พึ่งอันสูงสุด เป็นที่พึ่งอันเกษม เป็นที่พึ่งอันมั่นคง จะละเสียไม่ได้ ผู้ที่ยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ย่อมพ้นจากทุกข์ได้ และสุดท้าย ก็คือวางท่าทีให้ถูกต้องต่อองค์จตุคามรามเทพ ฯลฯ อย่างมีปัญญากำกับ ไม่หลงงมงายอย่างไร้เหตุผล ให้สมกับที่เป็น “ชาวพุทธ” ที่แท้จริง
---------------------------------

โดยคุณ แบงค์7วัด (1.3K)  [อ. 26 มิ.ย. 2550 - 21:45 น.] #113976 (15/63)
คนสร้างไม่มีจริยธรรม ทำของเสริมออกมาเยอะนะสิครับ

โดยคุณ somkiatthornburi (14.1K)  [อ. 26 มิ.ย. 2550 - 22:12 น.] #113986 (16/63)
เรียนพื่หมอครับ
ขอหน้าต่างใบจองจตุคามที่ไม่ได้ใช้ขอเปลี่ยนเป็นพระในหลวงหรือพระที่ทรงอนุญาติจัดสร้างทั้งหลายเข่นกำลังแผ่นดินมวลสารจิตรลดาครูฑกริ่งภปรพระแก้วมรกตพระที่ปลุกเสกในวัดพระแก้วได้หรือไม่ครับเพราะหมวดนี้ก็เป็นกระแสหลักและเป็นการเทิดไท้80พรรษาท่านด้วยครับ

โดยคุณ Burapa911 (2K)  [พ. 27 มิ.ย. 2550 - 04:59 น.] #114092 (17/63)
รุ่นปีที่สร้าง 2550 รุ่นดังกล่องเหลือง ตอนแรกผมเก็บไว้ทุกแบบๆ ละหลายชุด ขอย้ำผมเก็บอย่างเดียว เป็นคนชอบสะสม พอกระแสเริ่มกำลังแรง กลับมีชุดกรรมการ เคลือบสารพัดเคลือบ มีเคลือบสลับ สร้างจำนวนจำกัด แต่ลงประมูลเป็นร้อยชุด ทำให้ผมต้องหยุดดูสถานการณ์ ท่านใดมีคำอธิบายหรือข้อมูลลึกๆ ของรุ่นนี้ (โดยส่วนตัวแล้วชอบมาก) ขอได้โปรดให้ความกระจ่าง เพื่อเป็นแนวทางในการสะสมรุ่นนี้ต่อไป(เชื่อว่าทุกท่านทราบว่ารุ่นใด)ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ

โดยคุณ bothong (3.7K)  [พ. 27 มิ.ย. 2550 - 08:24 น.] #114106 (18/63)
เห็นด้วยกับ somkiatthornburi

โดยคุณ ยุทธนา (1.4K)  [พ. 27 มิ.ย. 2550 - 08:40 น.] #114113 (19/63)
สาธุ รามา

โดยคุณ loeiisan (2.1K)  [พ. 27 มิ.ย. 2550 - 12:04 น.] #114193 (20/63)
รับทราบครับ ...ขอบคุณพี่หมอที่ช่วยวิเคราะห์ ทำให้เกิดประโยชน์มากเลยครับ

โดยคุณ prateep (2.1K)  [พ. 27 มิ.ย. 2550 - 12:28 น.] #114216 (21/63)


(D)
>>>>>ดีจริงเอาหมด... รุ่นทรัพย์รุ่งเรือง...ชัวว์ๆ >>รับทราบครับ.ขำไม่ออกผ่านแล้ว...ขัน๕นะครับก่อนทดลอง

>>>รูปหล่อแพงที่สุดๆๆๆๆๆๆๆๆๆยกให้ลวงพ่อเงิน...จตุคยกให้นครใต้...ถ้ามากรุ่นๆๆๆๆก็บ้านใครบ้านมันนะครับ.??????????จ.ซัง
แต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน?

โดยคุณ wichean15 (6K)  [พ. 27 มิ.ย. 2550 - 16:36 น.] #114270 (22/63)
เรียน คุณหมอ ผมขออนุญาต นำ ไป เผยแพร่ ด้วยนะครัย

โดยคุณ doctork (407)  [พ. 27 มิ.ย. 2550 - 18:05 น.] #114307 (23/63)
สาเหตุที่มีการชะลอตัว เนื่องจากมีของปลอมเกลื่อน ไปหมดครับ

โดยคุณ autoo (125)  [พ. 27 มิ.ย. 2550 - 18:11 น.] #114311 (24/63)
ขอบคุณคุณ หมอเมืองเพชร ครับ เป็นประโยชน์จริง ๆ ครับ ขอบคุณครับ ขอข้อมูลของคุณ ขาจรประจำ ด้วยนะครับ

โดยคุณ กล้วยไข่ (1.1K)(1)   [พ. 27 มิ.ย. 2550 - 19:53 น.] #114377 (25/63)
เห็นด้วยครับ แต่พระปี 47 ลงไปยังขายได้เรื่อยๆจริงๆ แต่ราคาก็ไม่สูงมากครับ พอขายแก้เซ็งได้ ส่วนพระที่เพิ่งออกใหม่ไม่ต้องห่วง เก็บไว้แจกลูกหลานเถอะครับ เพราะมีกันทุกคนแล้ว

โดยคุณ tu1111 (89)  [พ. 27 มิ.ย. 2550 - 21:33 น.] #114436 (26/63)
พี่ๆลองนึกถึงจตุคามที่เรานึกออกเป็นลำดับแรกๆจะมีไม่เกิน10รุ่น
ทำไมถึงนึกว่ามีเพียง10รุ่นเพราะเราจะคิดถึงแต่ที่เราจองไว้ว่าเป็นอย่างไร(ราคา)จึงไม่นึกถึงว่าที่เราเก็บไว้เพราะอะไรจะเก็บไว้เพื่ออนาคตหรือศรัทธากันแน่(ต่อไปนี้จองเฉพาะที่ชอบจริงๆขายไม่ได้ก็เก็บ)ไม่เล่นตามราคาที่เซียนปั่น
ใก้ลถึงเวลาเก็บพระเก่ามาเล่นแล้วครับ(ถ้าคนยังไม่มีความรับผิดชอบในการสร้างโดยเฉพาะพระนอกพิธี)

โดยคุณ พงษ์พันธ์ (276)  [พ. 27 มิ.ย. 2550 - 23:10 น.] #114500 (27/63)

โดยคุณ เล็กนนท (800)  [พฤ. 28 มิ.ย. 2550 - 00:58 น.] #114534 (28/63)
ขอขอบคุณ..คุณ ขาจรประจำ ที่สระเวลาเสนอแนวคิดที่ดีมากๆเข้าถึงแก่นแท้ในจิตใจ..ขอน้อมรับไปปฎิบัติครับ..ขอบคุณครับ

โดยคุณ suppapa (219)  [พฤ. 28 มิ.ย. 2550 - 09:34 น.] #114593 (29/63)
คุณขาจร ประจำ....นำหลักธรรม (ธรรมชาติ+ธรรมดา) มาสรุป..ได้..เยี่ยม..ครับ....รู้สึกดี..ที่ได้อ่านข้อความของคุณ..ขอบคุณครับบบบ

โดยคุณ suppapa (219)  [พฤ. 28 มิ.ย. 2550 - 09:34 น.] #114594 (30/63)
คุณขาจร ประจำ....นำหลักธรรม (ธรรมชาติ+ธรรมดา) มาสรุป..ได้..เยี่ยม..ครับ....รู้สึกดี..ที่ได้อ่านข้อความของคุณ..ขอบคุณครับบบบ

โดยคุณ joeygem (15)  [พฤ. 28 มิ.ย. 2550 - 10:38 น.] #114623 (31/63)
รู้สึกดี..ที่ได้อ่านข้อความของ ทุกคน

โดยคุณ arnakornda (1K)(10)   [พฤ. 28 มิ.ย. 2550 - 20:10 น.] #114780 (32/63)
ลองเข้าไปอ่านบทความในเวป สุริยัน จันทรา ดูซักหน่อยมั๊ยครับ ฟังหูไว้หู เอ๊ย หรือว่า อ่านตาไว้ตา WWW.suriyunjuntra.com ครับ

โดยคุณ siampit (0)  [ศ. 29 มิ.ย. 2550 - 12:20 น.] #115041 (33/63)
ไม่ว่าจะอย่างไร
ผมนับถือ ปี 30 และ เจดีย์รายฯ45
2 รุ่น นี้ เท่านั้นครับ

โดยคุณ คนรักพระมือใหม่ (195)  [ศ. 29 มิ.ย. 2550 - 21:08 น.] #115236 (34/63)
เห็นด้วยกับข้อมูลที่พี่หมอเมืองเพชรวิเคราะห์ครับรวมทั้งที่พี่doctorkกล่าวถึงครับ...

โดยคุณ เด่นไทย (399)  [ส. 30 มิ.ย. 2550 - 00:32 น.] #115381 (35/63)
เยี่ยมมากๆ.......ตรงใจ.........ได้สติ

โดยคุณ kritwu48 (132)  [ส. 30 มิ.ย. 2550 - 08:09 น.] #115433 (36/63)
ขอลคุณที่ให้ความรู้นะครับ

โดยคุณ กฤษลำพูน (140)(1)   [อา. 01 ก.ค. 2550 - 09:48 น.] #115851 (37/63)
ขอบคุณครับอ่านแล้วได้ความรู้มากๆ

โดยคุณ pm1018 (1.2K)  [อา. 01 ก.ค. 2550 - 21:41 น.] #116106 (38/63)
มันเป็นแค่ความฝัน ซึ่งที่สุดแล้วต้องตื่นขึ้น ไม่มีใครฝันได้ตลอดการ ยอมรับความจริงเถอะครับ ใครที่มีพระที่จองแล้วก็รอพระออก(ต้องลุ้นด้วยว่าสวยใหม) ใครที่คิดจะจองให้ระงับไว้ก่อน รอพระออกแล้วชอบจึงค่อยบูชาเอา ผมกล้าการันตีว่าไม่มีรุ่นที่ออกมาแล้วแพงเหมือนก่อนนี้อีกแล้วครับ ในภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ ถือเงินสดไว้ดีกว่า เรายังไม่รู้ว่าใน 6 - 12 เดือนข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น
ตื่นเถอะครับ ความจริงก็ต้องเป็นความจริงวันยังค่ำ

โดยคุณ 0867500999 (0)  [พ. 04 ก.ค. 2550 - 23:03 น.] #117358 (39/63)
ผมว่ายุค 3ทำให้กระแสเสื่อมลง แต่ในยุค 4 อาจกลับมาได้เพราะพระจะเริ่มมีรายละเอียด และสวยมากขึ้น ดีกว่ายุค3ที่สร้างปัญหา ยกตัวอย่าง โคตรมหาเศรษฐีปี50 ที่ขายใบจองกัน800-1000 แต่พอพระออกมาเหลือ300 คนซื้อใบจองอ๊วกแตกเลย แต่หลังจากนี้น่าจะดีขึ้นและอาจกลับมาอีกครั้งแต่คงไม่เกินปี 51

โดยคุณ chaiya_chate (215)  [ศ. 06 ก.ค. 2550 - 00:02 น.] #117766 (40/63)
ได้เห็นอะไรหลายอย่างหลังจากที่อ่านกระทู้ของ คุณหมอเมืองเพชร และคุณขาจรประจำ ผมว่ากลุ่มผู้สร้างเดี๋ยวนี้ไร้สาระมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว มีแค่ไม่กี่รุ่นที่เจตนาสร้างดีจริงๆโดยส่วนตัวผมจะชอบรุ่นที่วัดจัดสร้างเองมากกว่าครับ จะดีจะร้ายยังไงก็ยังเหมือนเอาเงินเข้าวัด แต่ก็ยอมรับว่ามีบ้างที่จองแหลกเหมือนกันตอนนี้เริ่มมีสติขึ้นมาแล้วครับ ผมว่าพวกเราควรรักษาวัฒนะธรรมของการศัทธาองค์พ่อไว้ให้ได้นานที่สุดดีกว่า ตลอดไปเลยได้ยิ่งดีครับ รู้สึกดีจริงๆครับที่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกในเว็บนี้

โดยคุณ kingtons (9)  [ศ. 06 ก.ค. 2550 - 10:05 น.] #117918 (41/63)
เห็นด้วยครับ แต่คอยจะมีของเสริมอยู่เรื่อยเลยครับ ทำให้ผู้เช่าบูชานั้นเกิดความไม่มั่นใจ ว่าผ่านพิธีจริงหรือไม่ ถ้าผ่านก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่ผ่านก็เหมือนเอาก้อนหินมาขึ้นคอเล่นเท่านั้นเอง

โดยคุณ ประดู่77 (190)  [ศ. 06 ก.ค. 2550 - 20:49 น.] #118157 (42/63)
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เดินตามเพื่อน ไม่ล้มไม่เจ็บครับ ไทยมุง ถูกต้องครับ

โดยคุณ dangbangpla (1.1K)  [จ. 09 ก.ค. 2550 - 09:59 น.] #118916 (43/63)
เห็นด้วยครับ และรุ่นหลังๆนี้ตามไม่ค่อยทัน และผมเชื่อว่าท่านพ่อไม่ได้มาลงผ่านให้เพราะฤกษ์ดีไม่คิดว่าจะมีเยอะขนาดนี้ คิดว่าเป็นเทวาพานิชย์มากกว่า

โดยคุณ thaitheway (0)  [จ. 16 ก.ค. 2550 - 08:55 น.] #121686 (44/63)
มาอ่านช้าไปหน่อยครับ เพราะเพิ่งได้เป็นสมาชิก ความเป็นทุกความเห็นมีประโยชน์มากครับ ช่วยชี้ทาง ผู้ที่เช่า และผู้ที่สร้างได้ ดีมากๆ

โดยคุณ sek_toto (1.4K)  [พ. 18 ก.ค. 2550 - 15:26 น.] #122760 (45/63)


(D)
เฮ้อ...ดุข่าวแล้วปลงครับ...
เจ้าพิธี..ลงกะทะใบบัว..แช่น้ำมันร้อนๆ
ยิงปืนมั่ง...ขี่ช้างให้ชนกันมั่ง
โอยสารพัด...ยุคหลังนี่เริ่มแย่ลงไปเรื่อย
ส่วนตัวผมนะครับ...เห็นด้วยกับพี่หมอครับ
หนับนุนครับ...หนับนุน

โดยคุณ thawath (2K)  [พ. 18 ก.ค. 2550 - 23:19 น.] #123107 (46/63)
จองจากใบโปสเตอร์รูปแบบสวย ๆ หลายรุ่น แต่พอของออกมาแล้ว น่าผิดหวังจริง ๆ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบด้านพุทธศิลป์ หมดกำลังใจไปเลยครับเจ้านายยยย

โดยคุณ thanayoth (30)  [ส. 21 ก.ค. 2550 - 20:24 น.] #124455 (47/63)
ขอบคุณทุกๆท่านครับที่ให้วิทยาทาน

โดยคุณ teerayoat (9)  [จ. 23 ก.ค. 2550 - 19:42 น.] #125082 (48/63)
รายละเอียดของการจัดสร้างพระผงสุริยัน จันทรา ปี2530 ที่ผมได้เข้าไปอ่านที่ เวปไซท์ หลักเมือง 28 ( http://www.lakmuang28.com/) ของท่านพ.ต.ท.สรรเพชญ์ เนื้อหาเป็นจริงหรือไม่อย่างไรครับ วอนผู้รู้กรุณาช่วยให้ความรู้ด้วยครับเพราะว่ามีหลายท่านเหลือเกินที่ต่างคนก็บอกว่าติดต่อกับองค์พ่อจตุคามรามเทพได้ จนทำให้ผมสับสนมาก

โดยคุณ teerayoat (9)  [จ. 23 ก.ค. 2550 - 19:51 น.] #125087 (49/63)
ขอเสริมนิดครับ ว่าโดยส่วนตัวแล้วนะครับผมมีความเชื่อถือในบทความของท่าน พ.ต.ท.สรรเพชญ์ ครับ

โดยคุณ teerayoat (9)  [จ. 23 ก.ค. 2550 - 19:52 น.] #125090 (50/63)
ขออภัยอย่างสูงครับ ยศของท่านคือ พลตำรวจโท ครับ

โดยคุณ mahapra (466)(2)   [ศ. 27 ก.ค. 2550 - 07:06 น.] #126964 (51/63)
สาเหตุที่มีการชะลอตัว เนื่องจากมีของปลอมเกลื่อน ไปหมดครับ

โดยคุณ sahapath (117)(1)   [ศ. 27 ก.ค. 2550 - 07:52 น.] #126973 (52/63)
อ่านแล้วได้ความรู้ขึ้นมาอีกเยอะเลยครับ

โดยคุณ เคนโด้รังสิต (478)  [ศ. 27 ก.ค. 2550 - 11:00 น.] #127047 (53/63)
อ่านแล้วรู้สึกดีจัง วันหลังจะจองแบบมีสติ หรือ ก็ไม่จองเลย รอพระออกมาก่อน ค่อยตัดสินใจ ตอนนี้ก็ภาวนาให้พวกนายทุน เจ๊ง ๆ

โดยคุณ teerayoat (9)  [ส. 28 ก.ค. 2550 - 12:09 น.] #127492 (54/63)
ลองเข้าไปอ่านดูกันนะครับ http://www.suriyunjuntra.com/data/grouplukmuang_fale.html
แล้วแต่ใครจะคิดอย่างไรครับ

โดยคุณ Manbiki (197)  [ส. 28 ก.ค. 2550 - 16:52 น.] #127572 (55/63)
แล้วอย่างนี้ พระที่ทำออกมาตอนนี้ไม่มีของจริงเลยหรอ

โดยคุณ chanon77 (142)(2)   [อ. 07 ส.ค. 2550 - 15:51 น.] #132289 (56/63)
พระที่ออกมาใหม่ดีๆก็มีครับ ของหลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐินก็ดีนะครับ

โดยคุณ chanon77 (142)(2)   [อ. 07 ส.ค. 2550 - 16:00 น.] #132291 (57/63)
ผมมีความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ไม่ได้เป็นการลบลู่นะครับ อยากให้ชาวพุทธด้วยกันอย่า ได้งมงายในเรื่องเทพต่างๆมากนักนะครับ เรามีพระรัตนตรัย คือพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง คำว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเป็นเราคือตถาคต องค์พ่อจตุคามยังนับถือ พระพุทธเจ้าของเรา และเทพบ้างองค์ยังต้องกราบพระสงฆ์ ซึ่งมีศีลมากกว่าด้วยครับ พระธรรมที่เราความนำมาใช้ ส่วนพระเครื่องคือของสะสมครับ

โดยคุณ chanon77 (142)(2)   [อ. 07 ส.ค. 2550 - 16:05 น.] #132294 (58/63)
อยากให้พระสงฆ์ ที่มีวิชชาที่ดี มีสามธิแน่วแน่ ช่วยนำหลักคำสอน หลักการทำสมาธิมาสอน ผู้คนที่ยังไม่เคยรู้ว่าแก่นของพระพุทธศาสนาอยู่ที่ใด การทำสมาธิแตกต่างจาก ศาสนาอื่นอย่างไร สมถะกัมฐาน กับสมถะวิปัสนาแตกกันอย่างไรครับ

โดยคุณ exjung (184)  [อ. 07 ส.ค. 2550 - 17:26 น.] #132349 (59/63)
กระผมขอเสนอความคิดเห็นส่วนตัวนะขอรับ... 1.เห็นพูดเรื่องจะจัดเก็บภาษีทำไมไม่ทำจริงๆจังๆล่ะครับ
2. เรื่องการโฆษณาชวนเชื่อรูปทำซะสวยแต่พระออกมาไม่เหมือนแบบ น่าจะมีมาตราการฟ้องร้องหรือรับผิดชอบเช่นคืนเงิน 3. เรื่องสคบ ที่มีคนร้องเรียนน่าจะมีการดำเนินการกับผู้จัดสร้างที่หลอกต้มคนเช่าบูชาด้วยไม่ใช่เอาแต่พูดกันไปเรื่อยไม่ทำซะที อีกหน่อยวงการจตุคามดับสูญแน่นอนครับ เพราะเจอเรื่องแบบนี้เข้ามากๆ..

โดยคุณ exjung (184)  [อ. 07 ส.ค. 2550 - 17:26 น.] #132351 (60/63)
กระผมขอเสนอความคิดเห็นส่วนตัวนะขอรับ... 1.เห็นพูดเรื่องจะจัดเก็บภาษีทำไมไม่ทำจริงๆจังๆล่ะครับ
2. เรื่องการโฆษณาชวนเชื่อรูปทำซะสวยแต่พระออกมาไม่เหมือนแบบ น่าจะมีมาตราการฟ้องร้องหรือรับผิดชอบเช่นคืนเงิน 3. เรื่องสคบ ที่มีคนร้องเรียนน่าจะมีการดำเนินการกับผู้จัดสร้างที่หลอกต้มคนเช่าบูชาด้วยไม่ใช่เอาแต่พูดกันไปเรื่อยไม่ทำซะที อีกหน่อยวงการจตุคามดับสูญแน่นอนครับ เพราะเจอเรื่องแบบนี้เข้ามากๆ..

โดยคุณ pkss1 (25)  [พฤ. 09 ส.ค. 2550 - 12:29 น.] #133359 (61/63)
เห็นด้วยกับคุณหมอ

โดยคุณ ksssitnoi996 (211)  [ส. 15 ก.ย. 2550 - 15:52 น.] #150811 (62/63)


(D)


เมื่อไร g-pra จะขยายความจุของภาพพระที่ลงประมูลเป็น 150k
60k มันน้อยเกินไปภาพพระที่ตั้งประมูลไม่ชัดเจน ยากต่อการพิจารณาความแท้ไม่แท้มาก
60k ก็ได้แค่นี้แหละครับ
ช่วยกันบอกต่อและตะโกนดังๆๆๆๆๆๆๆๆๆให้เวปมาสเตอร์ได้ยินมันเป็นผลดีกับพวกเราทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย ถ่ายรูปพระมาสวยๆๆๆชัดๆๆต้องมาบีบภาพให้เหลือแค่60k จากภาพที่สวยๆๆๆชัดๆๆๆกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ 60k สำหรับความจุภาพมันน้อยเกินไปครับ อย่างน้อยมันต้อง 150 k

โดยคุณ dangphayao (0)  [อ. 30 ต.ค. 2550 - 15:05 น.] #173527 (63/63)
คุณหมอเยี่ยมจริง....ส่วนผมคิดว่าอะไรก็ แปลกหมดแหละ ลองพิจารณาดู ว่าพระพุทูองค์กว่าจะนำเอาบมคำสอน 84,000 ให้เป็นที่ยอมรับได้ใช้เวลานานเท่าไร จนปานนี้ดำรงอยู่ได้ตั้ง 2550 ปีแล้ว นี่ก็ครึ่งหนึ่งแล้ว จตุคามใช้เวลาเพียง 2 ปีเองนะ อานิจจังจริง

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM
www1