ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : กว่าจะมาเป็น "ผงวิเศษ" ในพระสมเด็จ

(D)
กว่าจะมาเป็น "ผงวิเศษ" ในพระสมเด็จ

เล่นพระให้เก่งต้อง "แม่นพิมพ์ รู้เนื้อหา" เพราะ "พระแท้" พิมพ์ต้องใช่ เนื้อต้องถูก เป็นนิยามยอดนิยมมาแต่คนรุ่นเก่า แต่ปัญหาด้าน "เนื้อหามวลสาร" เป็นเรื่องประมาณการยากกว่าเรื่อง "พิมพ์ทรง" เพราะคนโบราณเขาสร้างพระแบบ "ทำด้วยมือ" ความพอเหมาะพอดีของสิ่งที่ใส่ลงไป ไม่ได้ชั่ง ตวง วัด ผลลัพธ์ออกมาจึงเกิดเนื้อหามวลสารที่แตกต่างกันไป

ส่วนเรื่อง "พิมพ์ทรง" จะหนีกันไม่พ้น เพราะการแกะแม่พิมพ์พระหนึ่งองค์ต่อหนึ่งอัน ถ้าเป็นเช่นนั้น คงวุ่นวายโกลาหล จับต้นชนปลายไม่เข้าสาย ไม่เข้าเซ็ท

นักเล่นพระระดับประเทศ ให้ความสำคัญกับเรื่อง "พิมพ์ทรง" มาเป็นอันดับแรก เพราะถ้าเจอ "พระเก๊เก่า" ก็ยังพอเอาตัวรอด แต่ถ้าเจอคำว่า "ผิดพิมพ์" ถึงจะมีอายุเก่าเท่าคุณทวด เขาก็ไม่ปรารถนา เนื่องจากข้อหา "ผิดพิมพ์" นี้ร้ายแรงถึงขั้นไม่อยากส่องพระให้เสียสายตา

และถ้าพระ "ผิดพิมพ์" ไม่ต้องลุ้นให้เมื่อยปลายประสาท โอกาสมีเท่ากับศูนย์

ด้วยเหตุนี้เองถึงได้เพียรพยายามเน้นการศึกษาด้าน "พิมพ์ทรง" เป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าเรา "แม่นพิมพ์" อ่านสภาพพระที่โย้เอียงหนักเบาจากการกดพระจากพิมพ์ออก จำตำหนิพิมพ์ได้ จำแนกพิมพ์เป็น แค่นี้ก็เป็น "เซียนน้อยๆ" กับเขาได้แล้ว


ถามจริงเถอะ...สร้างพระกันทั้งที ถึงจะมี ๘๔,๐๐๐ องค์ จะมีแม่พิมพ์พระได้สักกี่อัน แต่ขอโทษที กว่าจะได้พระ ๘๔,๐๐๐ องค์ ผสมผงทำพระกะเกณฑ์หนักเบา มากน้อย ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันขนาน แก่โน่นนิด อ่อนนี่หน่อย ใส่นี่เพิ่ม เติมนั่นอีก ทำกันได้ตามความพอใจ และอารมณ์คนผสม ซึ่งไม่ใช่ เจ้าประคุณสมเด็จฯ(โต) ท่านเป็นผู้กระทำเองทุกครั้งไป

แม้จะรู้อยู่เต็มอก ว่าส่วนผสมของ พระสมเด็จ มีอะไรบ้าง แต่ปริมาณของส่วนผสมยังคงเป็นเรื่องมหัศจรรย์พันลึก ด้วยเหตุนี้เองทำให้พระมีหลากหลายมวลสาร กระทั่งสีสัน ไปจนถึงความละเอียดและหยาบ

กล่าวมานี่ยังไม่รวมถึงสภาพการเก็บรักษา หรือว่าผ่านการใช้มาโชกโชนขนาดไหน อันเป็นตัวแปรให้มวลสารพระมีสถานภาพต่างกันออกไป

ส่วน "แม่พิมพ์" ก็คงไม่หนีจากที่มี ที่ใช้กดพระ ถึงจะมาก แต่ก็ไม่มากเกินจะจดจำ และที่สำคัญ "แม่พิมพ์พระ" มีเอกลักษณ์เฉพาะพิมพ์ ดังนั้นคนที่ "แม่นพิมพ์" จึงปราศจากโรค "เก๊เก่า" มารับประทานได้

แต่เพื่อความสมบูรณ์ของสาระ ผู้เขียนก็ขอกล่าวถึงที่มาของ มวลสารพระสมเด็จ วัดระฆัง กันให้รู้ เพราะว่า "กว่าจะได้มาเป็นมวลสารทั้งหมดที่กดลงในแม่พิมพ์พระ" ก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดา อ่านแล้วท่านจะรู้ว่า สมควรแล้วที่ พระสมเด็จฯ จะมีพุทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ สมคำว่า "จักรพรรดิของพระเครื่อง"

เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่า พระสมเด็จ วัดระฆัง ที่สร้างโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังษี เมื่อปี ๒๔๐๙ นั้น มีส่วนผสมของปูนเปลือกหอย กล้วยน้ำหว้า ดินจากกำแพงเพชร ณ ลานทุ่งเศรษฐี ที่สันนิษฐานว่าต้องมีการนำพระศักดิ์สิทธิ์อย่าง พระซุ้มกอ หนึ่งในชุดเบญจภาคี สกุลกำแพงเพชร แห่งลานทุ่งเศรษฐี มาเป็นส่วนผสมอยู่ด้วย

สุดยอดของส่วนผสมก็คือ ผงวิเศษทั้ง ๕ ที่ สมเด็จฯ โต ทรงอาศัยความเป็นอัจฉริยภาพของพระองค์ทำขึ้นมา

และส่วนผสมทั้งหลายเหล่านี้ มีนํ้ามันตังอิ้วเป็นตัวการสำคัญในการผสานมวลสารให้เกาะติด เป็นรูปทรงตามพระประสงค์ของท่านเจ้าประคุณได้เป็นอย่างดี เป็นผลให้ พระสมเด็จ (โต) คงสภาพถาวร ไม่เปื่อยยุ่ยแตกสลายแม้กาลเวลาจะผ่านมากว่าร้อยปี

หลายท่านรู้ดีว่า "ผงวิเศษ" ที่นำมาใช้ในการผสม เป็นมวลสารหนึ่งในพระสมเด็จ วัดระฆัง นั้น ประกอบไปด้วย ผงปัถมัง อิทธะเจ มหาราช พุทธคุณ และตรีนิสิงเห หลายคนคิดว่า "ผงวิเศษ" เหล่านี้เป็นผงแต่ละชนิด นำมาผสมผสานปนเปกันเวลาทำพระ

แต่แท้ที่จริงแล้ว เป็นผงชุดเดียวกัน ที่ผ่านกรรมวิธีการสร้างอันซับซ้อนถึง ๕ ขั้นตอน

เรื่องนี้ พระธรรมถาวร ที่บวชเป็นเณรในยุคนั้น ซึ่งท่านเป็นศิษย์ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี) และเป็นผู้หนึ่งที่มีช่วงชีวิตทัน เจ้าประคุณ สมเด็จ(โต) อีกทั้งยังมีส่วนร่วมในการสร้างพระพิมพ์ของ พระสมเด็จโต ในครั้งกระนั้นด้วย ให้การยืนยันถึงการทำผงวิเศษทั้ง ๕ ของสมเด็จ(โต)ว่าเป็นผงเดียวกัน แต่ผ่านกรรมวิธี ๕ ขั้นตอนดังนี้

"สมเด็จฯ โต ท่านจะกระทำผงนี้ในพระอุโบสถ โดยการเตรียมเครื่องสักการะเช่นเดียวกับการไหว้ครู และตั้งเครื่องสักการะต่างๆ ไว้หน้าพระประธาน จุดธูปเทียนบูชาพระแล้วยกถาดที่มีดินสอที่ประกอบจากผงวิเศษมาผสมรวมกับดินโป่ง ๗ โป่ง ดินตีนท่า ๗ ท่า ดินหลักเมือง ๗ หลักเมือง ขี้เถ้าไส้เทียนที่ใช้บูชาพระประธานในพระอุโบสถ นอกจากนี้ก็มี ดอกกาหลง ยอดรักซ้อน ขี้ไคลเสมา ขี้ไคลประตูวัง ขี้ไคลเสาตะลุงช้างเผือก ไม้ราชพฤกษ์-ชัยพฤกษ์ ต้นพลูร่วมใจ พลูสองทาง กระแจะตะนาว นํ้ามันเจ็ดรส และดินสอพอง โดยนำสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมานี้ มาป่นละเอียดผสมนํ้านำมาปั้นเป็นแท่งดินสอ นำออกตากผึ่งแดดให้แห้ง ให้จับเขียนได้ ลักษณะคล้ายกับแท่งชอล์ค

อย่างปัจจุบัน แต่มีขนาดและความแข็งผิดกันเล็กน้อย โดยกระเดียดไปทางดินสอที่ใช้เขียนกระดานชนวนอย่างโบราณ

เมื่อนำดินสอที่ทำจากผงวิเศษ ซึ่งบรรจุอยู่ในถาดขึ้นจบเหนือพระเศียร แล้วกล่าวคาถาอัญเชิญครู อัญเชิญเทพยดา ทำประสะนํ้ามนต์พรมตัวท่านเอง จากนั้นก็จะทรงเรียกอักขระเข้าตัว และอัญเชิญครูเข้าตัว จึงจะเริ่มทำสมาธิ เขียนสูตร ชักเลขยันต์ เจริญพระคาถา เอาดินสอที่ทำจากผงวิเศษนี้ เขียนลงบนแผ่นกระดาน แล้วเรียกสูตร นะปฐมํพินธุ แล้วว่าพระคาถาของสูตรการลบ เขียนแล้วลบ เขียนแล้วลบ หลายครั้ง จนกว่าจะครบถ้วนตามตำราการทำ ผงปฐมํ นี้ ต้องใช้ดินสอเขียนมาก และใช้เวลาเขียนนาน ๒-๓ เดือน จึงจะแล้วเสร็จ ได้ผงปถมังอันเป็นผงชนิดแรกที่เกิดขึ้นก่อนผงวิเศษอื่นๆ ซึ่งชื่อคำว่า ปฐมํ นี้มีความหมายว่า ผงวิเศษที่สร้างเป็นปฐม ก็น่าจะเป็นหนึ่งในความหมาย


เมื่อได้ ผงปถมัง หรือ ปฐมํ แล้ว ซึ่งผงเหล่านี้เกิดจากการเขียนแล้วลบ เขียนแล้วลบ ดังที่กล่าวมาอานุภาพของผงปถมังนี้ มีหลายประการ คือ ทั้งเมตตามหานิยม แต่หนักไปทางคงกระพันชาตรี มหาอุตม์ แคล้วคลาด กำบังล่องหน ป้องกันภูตผีปีศาจ ตลอดจนคุณไสยทั้งปวงได้

ท่านเจ้าประคุณโต จะนำผงปถมัง มาผสมกับนํ้าพระพุทธมนต์ ปั้นเป็นดินสอขึ้นอีกครั้ง แล้วเขียนอักขระด้วยสูตรมูลกัจจายน์ แล้วลบด้วยสูตรลบผง สมเด็จฯ โต ท่านก็เขียนแล้วลบ ทำดังเช่นการทำผงปถมัง หากแต่เป็นบทบริกรรมพระคาถาคนละประเภท จนได้ผงอิทธิเจ หรือ อิธะเจ ตามคัมภีร์โบราณ ซึ่งใช้เวลาในการทำผงนี้ประมาณ ๓ วัน สำหรับ "ผงอิทธิเจ" นี้ให้พุทธคุณในด้านเมตตามหานิยมอย่างยิ่ง และป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ

เมื่อได้ "ผงอิทธิเจ" แล้ว ท่านเจ้าประคุณฯสมเด็จโต ก็นำผงมาทำเป็นดินสอขึ้นอีก แล้วเรียกสูตรมหาราชขึ้น แล้วลบด้วยสูตรนามทั้งห้า ซึ่งใช้เวลาในการทำผงมหาราชนี้ประมาณ ๒-๓ เดือน เช่นเดียวกับผงปถมัง อานุภาพของผงมหาราชนี้มีคุณวิเศษทางเมตตามหานิยมอย่างสูง ป้องกันและถอนคุณไสยได้ อีกทั้งยังดีทางแคล้วคลาดอีกด้วย

เมื่อสำเร็จได้ ผงมหาราช ก็นำมาทำดินสอขึ้นอีก เรียกสูตรและลบอักขระเกี่ยวกับพุทธคุณนานาประการ เริ่มต้นตั้งแต่สมเด็จพระพุทธเจ้าทรงประสูตร จวบจนดับขันธ์ปรินิพพาน ผงวิเศษที่ได้นี้มีชื่อว่า ผงพุทธคุณ ซึ่งมีอานุภาพในด้านเมตตามหานิยมสูง นอกจากนี้ยังมีอานุภาพในด้านกำบัง สะเดาะ และล่องหนอีกด้วย

เมื่อได้ ผงพุทธคุณ อันเกิดจากขั้นตอนต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็นำผงพุทธคุณมาทำเป็นดินสอขึ้นเช่นที่ทำผ่านมา แล้วลงสูตรเลขไทยโบราณ สูตรอัตตราทวาทศมงคล ๑๒ จนบังเกิดเป็น ผงตรีนิสิงเห ซึ่งเป็นผงสุดท้าย ซึ่งผ่านกรรมวิธีแปลงมาจากผงวิเศษเดิมทั้ง ๔ ประเภท จากนั้นก็ทรงนำผงนี้เขียนอัตตรายันต์ ๑๒ และทรงรับสั่งว่าที่สำคัญที่สุดขาดมิได้คือ ยันต์นารายณ์ถอดรูป ซึ่งถือเป็นยันต์ประจำขององค์ตรีนิสิงเห นอกจากนี้ยังมียันต์พระภควัมบดีและยันต์ตราพระสี ประทับลงเป็นประการสุดท้าย ก่อนที่จะลบรวมเป็น ผงมหามงคลที่วิเศษยิ่งทั้งห้า

อานุภาพของ "ผงตรีนิสิงเห" นี้ มีความครบถ้วน เพราะเป็นผงที่เกิดจากการหลอมรวมผงวิเศษทั้ง ๔ ในชั้นต้น ทำให้ส่งผลบังเกิดในหลายด้าน ทั้งเมตตามหานิยม, ป้องกันถอดถอนคุณไสย และภูตผีปีศาจทั้งปวง แม้เขี้ยวเล็บงาแม้เขาสัตว์ มิให้ระคาย, โรคภัยไข้เจ็บกลับหาย, อุบัติเหตุ อัคคีภัย และอันตรายทั้งปวง ป้องกัน แคล้วคลาดได้ตามแต่จะปรารถนา

เมื่อ เจ้าประคุณสมเด็จฯโตได้ผงวิเศษ ทำการผสมกับส่วนผสมต่างๆ ที่ได้กล่าวมา จึงมารวมกับส่วนผสมอื่น แล้วจึงนำส่วนผสมทั้งหมดหยอดลงในแม่พิมพ์ที่แกะไว้ กดพระออกมา จากนั้นก็ทำการตัดองค์พระ แล้วนำออกมาผึ่งให้แห้งจนได้ "พระพิมพ์" ตามพระประสงค์ ท่านทรงเอาพระใส่บาตรปลุกเสกทุกวันมิได้ขาด โดยท่านได้ใช้พระคาถามหาวิเศษบทหนึ่ง อันเป็นพระคาถาโบราณในรูปของปัฐยาวัตฉันท์ แล้ว เจ้าประคุณสมเด็จฯโต ท่านได้ตัดทอนเติมต่อให้พอเหมาะ ทั้งดัดแปลงศัพท์บางคำให้สมควรใช้เป็น พระคาถาปลุกเสกพระสมเด็จของท่าน พระคาถานั้นคือ พระคาถาชินบัญชร อันเป็นพระคาถาที่อัญเชิญพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ และพระอรหันต์สำคัญหลายองค์มาปกป้องคุ้มครองผู้บริกรรมพระคาถานี้

อานุภาพของพระคาถาชินบัญชร นี้ มีคุณานุภาพมากมายหลายประการจนสุดบรรยาย เรียกได้ว่าให้ผลครอบจักรวาล ทั้งยังนำมาบริกรรมทำนํ้ามนต์เพื่อปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บได้สารพัด และที่หลายท่านมีประสบการณ์เล่าขานกันมา พระคาถานี้ดีนักหนาทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงทนอีกด้วย


ดังนั้นแม้ใครไม่มีโอกาสได้ครอบครอง พระสมเด็จ วัดระฆัง พระสมเด็จบางขุนพรหม หรือ พระสมเด็จเกศไชโย ที่องค์ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี เป็นผู้สร้าง ผู้ปลุกเสกแล้วละก็ การได้เจริญภาวนาพระคาถาชินบัญชร อย่างมีสมาธิ มีสติ และสมํ่าเสมอ ย่อมมีอานุภาพของพุทธคุณอยู่เคียงคู่กับตนมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าการมี พระพิมพ์ของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ดังที่กล่าวมาแล้ว ไว้ในครอบครอง

จึงไม่เป็นการยาก ไม่ว่าท่านจะมีทรัพย์ มีบารมีมากมาย แตกต่างกันอย่างไร ท่านมีสิทธิได้รับผลแห่งอานุภาพพุทธคุณของ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯโต เท่าเทียมกัน อย่างไม่มีอะไรมาขวางกั้นได้ นอกจากจิตอันเป็นศรัทธา และ ความดีงาม ของท่านเท่านั้นเป็นตัวกำหนด...สาธุ

คัดลอกมาจากหน้าพระเครื่อง "คม ชัด ลึก" ต้องขออนุญาตนำมาเผยแพร่เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ศึกษา ขอบคุณครับ

โดยคุณ kun_ott (2K)  [ส. 26 ม.ค. 2551 - 13:10 น.]



โดยคุณ pippinnu (9.2K)  [ส. 26 ม.ค. 2551 - 13:39 น.] #218742 (1/12)
ขอบคุณครับ สำหรับข้อมูลดีๆ อย่างนี้

โดยคุณ sarayoot (320)  [ส. 26 ม.ค. 2551 - 13:47 น.] #218748 (2/12)
สุดยอดดดดด......เลยครับ

โดยคุณ pusit (1.7K)  [ส. 26 ม.ค. 2551 - 14:04 น.] #218757 (3/12)
เยี่ยมครับ..ข้อมูลดี..ประดับความรู้..ขอบคุณครับ วันหลังเอาอีกครับท่านkun-ott

โดยคุณ เอสเรวดี (756)  [ส. 26 ม.ค. 2551 - 14:25 น.] #218765 (4/12)


(D)
เป็นความรู้ที่ดีมากๆครับ....

โดยคุณ vatcharapong (377)  [ส. 26 ม.ค. 2551 - 15:01 น.] #218778 (5/12)
สุดยอดครับ

โดยคุณ pattana2522 (181)  [ส. 26 ม.ค. 2551 - 16:01 น.] #218793 (6/12)
ยอดเยี่ยมครับ

โดยคุณ kuekul (845)  [ส. 26 ม.ค. 2551 - 16:07 น.] #218803 (7/12)

โดยคุณ v5565 (249)  [ส. 26 ม.ค. 2551 - 16:46 น.] #218835 (8/12)

โดยคุณ แบงค์7วัด (1.3K)  [ส. 26 ม.ค. 2551 - 18:05 น.] #218868 (9/12)

โดยคุณ viper356 (569)(1)   [ส. 26 ม.ค. 2551 - 22:21 น.] #218978 (10/12)
ขอบคุณครับ

โดยคุณ tera657 (359)  [อา. 27 ม.ค. 2551 - 21:51 น.] #219519 (11/12)
เข้ามาศึกษา ขอบคุณครับ

โดยคุณ kookkai (91)(2)   [จ. 28 ม.ค. 2551 - 11:23 น.] #219946 (12/12)

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM
www1