(D)
ญาติโยมหลายท่านมักถามว่า
" ท่านบวชเรียนมาตั้งแต่อายุยังน้อย
อยู่ในเพศบรรพชิตมามากกว่าครึ่งชีวิต มีโอกาสสัมผัสชีวิตฆราวาสไม่มากนัก
แล้วเอาข้อมูล วัตถุดิบหรือมุกมาจากไหนหนักหนา"
อาตมาก็ตอบว่า หลักๆ เลยก็คือ
การอ่าน นอกจากนั้นก็หนัง ละคร
ที่ญาติโยมดูกันนั่นแหละ พอตอบออกไปอย่างนี้
โย! มก็สวนกลับทันที
" ไม่ผิดข้อห้ามหรือท่าน" อาตมาก็จะอธิบายไปว่า
ดูเพื่อให้เท่าทันกิเลสจะได้สกัดมันถูก และที่สำคัญ
หากอาตมาไม่รู้หรือไม่เข้าใจ ตลอดจนไม่เท่าทันเรื่องราวทางโลกและ
จะมาบรรยายธรรมให้ญาติโยมรู้สึกอินกันได้อย่างไร ซึ่งนอกจากการอ่าน
การดูและการฟังแล้ว หลายวัตถุดิบที่นำมาสร้างเป็นมุกฮา
ก็ได้มาจากการพูดคุยกับ เหล่าโยมๆ นี่แหละ
อย่างวันหนึ่งระหว่างที่อาตมากำลังฉันเพลอยู่ก็มีโยมท่านหนึ่งโทร.มา "
พระอาจารย์เหรอคะ นี่อาตมาเองนะคะ" " หา อะไรนะ"
"
พระอาจารย์เหรอคะ นี่อาตมาเองค่ะ" "
ถ้าโยมแทนตัวว่าอาตมา
แล้วอาตมาจะแทนตัวอาตมาว่าอะไร"
" อ๋อ ขอโทษค่ะ"
หลังจากนั้นก็คุยธุระกันจนจบ
อาตมาก็กล่าวว่า " เจริญพร" " ค่ะ
เจริญพรเช่นกัน" แน่ะ มีอวยพรให้พระด้วย ! ข้างต้นก็คือ
สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ระหว่างพูดคุยกับเหล่าญาติโยม
จนถือว่าเป็นเรื่อง ปกติสำหรับอาตมาไปแล้ว
หรืออย่างก่อนหน้านี้มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง เดินถือสังฆทานมาอย่างมาดมั่น
พอเข้ามาในกุฏิแล้ว เธอก็มุ่งตรงไปที่พระบวชใหม่รูปหนึ่งทันที "
ถวายสังฆทานค่ะ" พระบวชใหม่ด้วยความที่ยังจำบทสวดต่างๆ
ไม่ค่อยคล่องนัก จึงหยิบหนังสือขึ้นมาดู " ไม่ต้องค่ะ"
โยมผู้หญิงคนนั้นกล่าวอย่างหนักแน่นตามสไตล์สาวมั่น "
ดิฉันท่องได้ค่ะ
เพราะคุณยายพาเข้าวัดตั้งแต่เด็กๆ"
เธอพนมมือขึ้น ก่อนกล่าวว่า "
อิมานิ มะยัง ภันเต
สะปะริวารานิ คิกขุ สังโฆ" ( ที่ถูกต้อง จะต้องเป็น
ภิกขุ
สังโฆ) พระบวชใหม่มีสีหน้างุนงง ก่อนหันมาถามอาตมา "
คิกขุสังโฆ นี่มันฟังทะแม่งๆ นะหลวงพี่"
อาตมาเกรงว่าโยมผู้นั้นจะหน้าแตก ก็เลยตอบไปว่า " คิกขุ แปลว่า น่ารัก
สังโฆ แปลว่า สงฆ์ คิกขุสังโฆ ก็คือ แด่พระสงฆ์ผู้น่ารัก"
เท่านั้นแหละ พระใหม่รูปนั้นนั่งยืดทั้งวันเลย แต่ก็มีบางกรณี
ที่การพูดผิดของคุณโยมทำให้อาตมาแทบจะสำลัก อย่างเมื่อเร็วๆ นี้
มีโยมท่านหนึ่งโทรศัพ
ท์มา ! " หลวงพี่ขา
ขอเรียนเชิญนิมนต์ค่ะ" " ไปไหนล่ะโยม"
"
ไปมรณภาพที่บ้านน่ะค่ะ" โห นิม นต์พระไปตายถึงที่บ้านเลย
อาตมาจึงบอกไปว่า ถ้านิมนต์ไปงานศพไปให้ได้ แต่ถ้าเชิญไปมรณภาพนี่
ช่วงนี้อาตมาไม่ว่างจริงๆ ขอตัวเถอะนะโยม
จากตัวอย่างที่อาตมาเล่าไว้ข้างต้น คุณโยมอาจจะเห็นเป็นเรื่องขบขัน
แต่มันก็สะท้อน ให้เห็นความห่างเหินระหว่างคนกับวัดได้ในระดับหนึ่ง
ปัจจุบันนี้คนจะนึกถึงวัดในกรณีพิเศษ เท่านั้น เช่นงานบวช งานศพ
ต่างกับสมัยก่อนที่วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน ฆราวาสกับพระจึง
สนทนากันไหลลื่น ไม่มีคำแปลกๆ
หรือผิดที่ผิดทางออกมาให้พระสุดุ้งแต่อย่างใด
ซึ่งถ้าพูดถึงศัพท์แสงที่แสลงใจแล้ว ตอนไปบิณฑบาตอาตมาจะเจอบ่อยมาก
เช่นมีอยู่ ครั้งหนึ่งระหว่างที่กำลังเดินๆ อยู่ ก็ได้ยินเสียงใสๆ
แว่วขึ้นมา " แม่ๆ พระมาขอข้าว" "
มาเยอะไหมลูก" " มา 2
อัน" โห
เรียกอย่างกับชิ้นส่วนรถยนต์
นี่ถ้ามาเยอะๆไม่เรียกเป็นฝูงเลยเหรอ
ดังนั้นเวลาไปบรรยายธรรมให้นักเรียนฟังอาตมาจะนำเรื่องนี้ไปสอดแทรกเพื่อสอน
เด็กๆ ด้วย " ถ้าพระกิน เรียกว่า ฉัน" " พระนอน
เรียกว่า
จำวัด" (บางคนเรียกขี้เกียจเป็นพระนอนไม่ได้)
" พระป่วย เรียกว่า
อาพาธ" " พระตาย เรียกว่า
มรณภาพ" (ไม่ใช่เรียกป่อเต็กตึ๊งนะ)
"
แล้วพระอาบน้ำล่ะ เรียกว่าอะไรเอ่ย" คราวนี้อาตมาถามให้เด็กๆ ตอบบ้าง
" เรียกคนมาดู" จบกัน |