*********กรณีซื้อขายพระที่ถูกขโมย************
ปัญหาที่เกิดขึ้นอีกประการหนึ่งในการซื้อขายพระ คือ พระที่ซื้อขายนั้นเป็นพระที่ถูกขโมยมา ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างผู้รับซื้อกับเจ้าของที่แท้จริงว่าใครจะมีสิทธิในพระองค์ดังกล่าว ยิ่งในบางกรณีมีการขายพระองค์ดังกล่าวต่อไปเป็นทอด ๆ ก็ยิ่งก่อให้เกิดความยุ่งยากตามมาในหลาย ๆ ประการ และเพื่อให้เกิดความเข้าใจในประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องจึงต้องแยกพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป กล่าวคือ
๔.๑ กรณีนาย ก. ซื้อพระจากนาย ข. ซึ่งเป็นพระที่นาย ข. ขโมยมาจากนาย ค.
จากข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้นอาจแยกพิจารณาเป็นกรณีต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
๔.๑.๑ หากนาย ก. ซื้อพระจากนาย ข. โดยไม่ทราบว่าเป็นพระที่นาย ข. ขโมยมาจากนาย ค.
คำถาม นาย ค. (เจ้าของที่แท้จริง) มาเรียกเอาพระคืน นาย ก. (ผู้ซื้อ) จะต้องคืนให้หรือไม่ และนาย ก. จะมีสิทธิอย่างไรต่อนาย ข.
คำตอบ หากนาย ค. (เจ้าของที่แท้จริง) มาเรียกเอาพระคืน นาย ก. (ผู้ซื้อ) ต้องคืนทรัพย์ให้แก่นาย ค. ทั้งนี้เพราะพระองค์ดังกล่าวยังเป็นกรรมสิทธิ์ของนาย ค. นาย ค. จึงสามารถใช้สิทธิติดตามทวงคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๖๑๔
การที่นาย ก. ต้องคืนทรัพย์ให้นาย ค. นั้นถือเป็นการถูกรอนสิทธิ ดังนั้น นาย ก. จึงมีสิทธิเรียกให้นาย ข. รับผิดได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๗๕๑๕
คำถาม นาย ก. (ผู้ซื้อ) จะต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ฐานรับซื้อของโจรหรือไม่ อย่างไร
คำตอบ การที่นาย ก. รับซื้อพระจากนาย ข. ดังกล่าวนั้นแม้จะเป็นการรับซื้อพระซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ถูกขโมยมาแต่นาย ก. รับซื้อไว้โดยสุจริตไม่ทราบว่าเป็นทรัพย์สินที่ถูกขโมยมา ดังนั้น การกระทำของนาย ก. จึงขาดเจตนากระทำความผิดฐานรับซื้อของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๗๑๖
๔.๑.๒ หากนาย ก. ซื้อพระจากนาย ข. มาโดยไม่ทราบว่าเป็นพระที่นาย ข. ขโมยมาจากนาย ค. เข้าใจว่าเป็นของนาย ข.
คำถาม นาย ค. (เจ้าของที่แท้จริง) มาเรียกพระคืน นาย ก. (ผู้ซื้อ) จะต้องคืนให้หรือไม่ และนาย ก. จะมีสิทธิอย่างไรต่อนาย ข.
คำตอบ หากนาย ค. (เจ้าของที่แท้จริง) มาเรียกเอาพระคืน นาย ก. (ผู้ซื้อ) ต้องคืนทรัพย์ให้แก่นาย ค. ทั้งนี้เพราะพระองค์ดังกล่าวยังเป็นกรรมสิทธิ์ของนาย ค. นาย ค. จึงสามารถใช้สิทธิติดตามทวงคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๖
การที่นาย ก. ต้องคืนทรัพย์ในนาย ค. นั้นแม้จะเป็นการถูกรอนสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๗๕
แต่นาย ก. ก็ไม่อาจเรียกให้นาย ข. รับผิดต่อตนได้เพราะนาย ก. รับซื้อไว้โดยทราบว่าเป็นพระที่ถูกขโมยมาจึงเป็นกรณีที่ผู้ซื้อรู้อยู่แล้วในเวลาซื้อขายว่ามีบุคคลอื่นมีสิทธิเหนือทรัพย์ที่ซื้อขายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๗๖๑๗
คำถาม นาย ก. (ผู้ซื้อ) จะต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ฐานรับซื้อของโจรหรือไม่ อย่างไร
คำตอบ การที่นาย ก. รับซื้อพระจากนาย ข. ดังกล่าวนั้นถือเป็นการรับซื้อทรัพย์สินที่ถูกขโมยมา ซึ่งเป็นกรณีที่นาย ก. รับซื้อไว้โดยทราบว่าเป็นทรัพย์สินที่ถูกขโมยมา ดังนั้น การกระทำของนาย ก. จึงเป็นการกระทำความผิดฐานรับซื้อของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๗
๔.๒ นาย ก. ซื้อพระมาจากเซียนพระ A. ซึ่งพระองค์ดังกล่าวเซียนพระ A. ซื้อมาจากนาย ข.ซึ่งขโมยมาจากนาย ค.
๔.๒.๑ หากเป็นกรณีที่นาย ก. ซื้อพระมาจากเซียนพระ A. โดยสุจริตในราคา ๙๙,๙๙๙ บาท โดยที่เซียนพระ A. ก็รับซื้อมาจากนาย ข. โดยสุจริต
คำถาม นาย ค. (เจ้าของที่แท้จริง) มาเรียกเอาพระคืน นาย ก. (ผู้ซื้อ) จะต้องคืนให้หรือไม่
คำตอบ แม้ว่าพระองค์ดังกล่าวจะยังเป็นกรรมสิทธิ์ของนาย ค. ก็ตามแต่หากนาย ค. (เจ้าของที่แท้จริง) มาเรียกเอาพระคืน นาย ก. (ผู้ซื้อ) โดยสุจริต ก็ไม่จำต้องคืนทรัพย์ให้แก่นาย ค. จะยอมชดใช้ราคาที่นาย ก. จ่ายไปจำนวน ๙๙,๙๙๙ บาท เพราะเป็นกรณีที่ซื้อทรัพย์มาจากพ่อค้าที่ขายของชนิดนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๒ โดยไม่ต้องพิจารณาว่าเซียนพระ A. จะสุจริตหรือไม่
คำถาม นาย ก. จะเรียกให้เซียนพระ A. รับผิดในการรอนสิทธิได้หรือไม่
คำตอบ แม้ว่านาย ก. (ผู้ซื้อ) โดยสุจริตไม่จำต้องคืนทรัพย์ให้แก่นาย ค. เว้นแต่นาย ค. จะยอมชดใช้ราคาที่นาย ก. จ่ายไปจำนวน ๙๙,๙๙๙ บาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๒ ก็ตาม แต่กรณีดังกล่าวก็ถือว่าเป็นการถูกรอนสิทธิตามสัญญาซื้อขาย ดังนั้น นาย ก. จึงมีสิทธิเรียกให้เซียนพระ A. รับผิดอันเนื่องมาจากการถูกรอนสิทธิได้อีกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๗๕
คำถาม นาย ก. และเซียนพระ A. จะต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานรับซื้อของโจรหรือไม่ อย่างไร
คำตอบ การที่นาย ก. รับซื้อพระจากเซียนพระ A. ดังกล่าวนั้นแม้จะเป็นการรับซื้อพระซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ถูกขโมยมาแต่นาย ก. รับซื้อไว้โดยสุจริตไม่ทราบว่าเป็นทรัพย์สินที่ถูกขโมยมา ดังนั้น การกระทำของนาย ก. จึงขาดเจตนากระทำความผิดฐานรับซื้อของโจรตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๗
แต่กรณีของเซียนพระ A. นั้นรับซื้อพระจากนาย ข. ดังกล่าวนั้นเป็นการรับซื้อทรัพย์สินที่ถูกขโมยมาโดยเซียนพระ A. รับซื้อไว้โดยทราบว่าเป็นทรัพย์สินที่ถูกขโมยมา ดังนั้น การกระทำของเซียนพระ A. จึงเป็นการกระทำความผิดฐานรับซื้อของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๗ เช่นกัน
_______________________
๑๔ มาตรา ๑๓๓๖ ภายในบังคับแห่งกฎหมาย เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอยและจำหน่ายทรัพย์สินของตนและได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้นกับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
๑๕ มาตรา ๔๗๕ หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดยปรกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น
๑๖ มาตรา ๓๕๗ ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด ถ้าความผิดนั้นเข้าลักษณะลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอกหรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานรับของโจร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำความผิดฐานรับของโจรนั้น ได้กระทำเพื่อค้ากำไร หรือได้กระทำต่อทรัพย์อันได้มาโดยการลักทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๕(๑๐) ชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงสองหมื่นบาท
๑๗ มาตรา ๔๗๖ ถ้าสิทธิของผู้ก่อการรบกวนนั้นผู้ซื้อรู้อยู่แล้วในเวลาซื้อขาย ท่านว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิด |
|