ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : พระหลวงพ่อจุก กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.ลพบุรี ลองอ่านดูครับ

(D)
หลวงพ่อจุกแตกกรุขึ้นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2430 พร้อมกับพระหูยาน พระอู่ทองลพบุรี และพระร่วงหลังลายผ้าจากวัดใหญ่ หรือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดลพบุรี ปรากฏศิลปสกุลช่างอู่ทอง ผสมผสานกับลังกาและลพบุรี พุทธลักษณะไม่เคร่งเครียดดุดันเหมือนเหมือนพระลพบุรีโดยทั่วไป สันนิษฐานกันว่า คงสร้างในสมัยลพบุรีเสื่อมอำนาจ

ศิลปสมัยลพบุรีอุบัติขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ 16 และถึงยุคเสื่อมประมาณพุทธศตวรรษที่ 19-20 ศิลปลพบุรีในยุคต้นๆ นั้นแสดงออกถึงอารมณ์ที่เคร่งเครียดดุดันดังกล่าวแล้ว พระโอษฐ์แบะกว้าง ต่อมาเมื่อระยะกลางถึงปลายสมัย ปรากฏพระพักตร์เปลี่ยนจากรูปสี่เหลี่ยมสั้นเป็นเรียวสูง ทั้งนี้ นอกจากจะได้รับการแทรกแซงจากทวาราวดี ศรีวิชัย และยังมีศิลปขอมบายนเข้าร่วมด้วย ศิลปขอมบายนนี้กำเนิดขึ้นในราว พ.ศ. 1724 หรือประมาณพุทธศตวรรษที่ 17-18 เป็นสกุลศิลปที่สร้างความผันแปรต่อศิลปกรรมสมัยลพบุรีมาก

ต่อมายุคปลายตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 19-20 ศิลปสมัยอู่ทองก็เข้ามามีอิทธิพลจนมีส่วนสัมพันธ์กันจนยากที่ผู้เชี่ยวชาญจะแยกแยะออกมาว่า ปฏิมากรรมยุคนี้ แบบไหนสมัยลพบุรี แบบไหนเป็นสมัยอู่ทอง ดังพระหลวงพ่อจุกที่นำมาเสนอให้ท่านพิจารณาองค์นี้ พุทธลักษณะและแบบพิมพ์บ่งบอกว่าเป็นศิลปสมัยลพบุรี ยุคปลายคือ เสื่อมอำนาจแล้ว อิทธิพลศิลปสกุลช่างอู่ทองก็ยังผสมผสานกับศิลปลังกาแบบโปโลนนรุวะ ซึ่งเข้าสู่ประเทศไทยในราวพุทธศตวรรษที่ 18-19 ซึ่งตรงกับสมัยศิลปอู่ทองกำลังรุ่งโรจน์จากนั้นค่อยอ่อนตัวลงในพุทธศตวรรษที่ 20 เมื่อศิลปแบบอยุธยาถือกำเนิดดังกล่าวมาทั้งทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องศิลปสมัยที่ยุติแล้ว

ถ้าเรามองพระหลวงพ่อจุกแบบลังกา ก็จะพบว่า พระหลวงพ่อจุกเป็นปฏิมาประทับนั่งบนฐานเตี้ย ปางสมาธิ (ลังกาสร้างพระปางสมาธิแทบทั้งสิ้น) ขัดราบ สังฆาฎิเป็นแผ่นไม่ใหญ่แต่ยาวพาดตรงลงมาด้านซ้ายของพระนาภี (สะดือ) ปลายสังฆาฎิซ้อนสามชั้นจีวรห่มเฉียง แสดงเป็นเส้นตอกลึกและนูนโค้งยาวตามความโค้งของพระวรกายจากซอกพระกรขวาวิ่งไปถึงพระอังสาซ้าย ที่ข้อพระกรซ้ายมีแนวจีวรลักษณะพาดผ่านลงไปในระดับปลายพระบาทขวาโดยเฉพาะพระพักจร์บ่งบอกชัดว่าเป็นชาวอินเดีย เพราะพระเนตรโต พระนาสิกใหญ่ และโด่ง พระโอษฐ์เล็กริมฝีปากเป็นรูปกระจับ พระขนงต่ำโก่งแบบอินเดีย บางท่านแยกพิมพ์เป็นสองอย่างว่า พิมพ์หน้าอินเดีย และหน้าลังกา ก็ไม่ผิดอะไร สิ่งที่แสดงว่าเป็นพระลพบุรีมีอยู่สองอย่างคือ แตกกรุจากพระปรางค์ใหญ่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุกับลักษณะผมเวียนเท่านั้นเอง บางครั้งผู้เขียนรู้สึกเหมือนหลวงพ่อจุกไม่ใช่พระลพบุรี เพราะลักษณะผมเวียนนั้นเป็นศิลปของทมิฬโจฬะอิทธิพลศิลปสมัยปาละ เดิมมีอาณาจักรอยู่ในอินเดียตอนใต้โดยเข้ายึดอำนาจจากราชวงศ์ปัลลวะปัจจุบัน ศิลปโจฬะหาดูได้ในพิพิธภัณฑ์เมืองนากาปัตตินัม ภาควัต อินเดียใต้ พุทธลักษณะของหลวงพ่อจุกเหมือนพระพุทธรูปนั่งหลายองค์ของศิลปโจฬะราวกับถอดพิมพ์ออกมาหรือจะเป็นช่างสกุลโจฬะมาสร้างไว้ก็อาจเป็นไปได้เช่นกัน

พระหลวงพ่อจุก เป็นพระพิมพ์ดินเผาขนาดกว้าง สูง 6 ซม. กว้าง 3 ซม. พุทธลักษณะสำรวมอินทรีย์ สง่างามลึกซึ้งด้วยอุดมทัศนะพุทธศาสน์ฝ่ายหินยานคำว่าจุกนั้นเห็นทีจะได้มาจากลักษณะพระเกศของท่าน ศิลปินผู้สร้างคงได้ความบันดาลใจจากพระพุทธประวัติช่วงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว คือ บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระหลวงพ่อจุกมีพระพักตร์อยู่สองแบบผู้รู้แบ่งแยกไว้แล้วว่า เป็นแบบ "หน้าลังกา" คือ ค่อนข้างกลม คงเทียบเคียงจากพระพักตร์พระพุทธรูปลังกาส่วนใหญ่ กลมแตกต่างจากแบบอินเดีย คือ พระพักตร์หลวงพ่อจุกอีกแบบนั้นมีลักษณะเหมือนผลมะตูม พระหลวงพ่อจุก หน้าลังกานั้นแบ่งออกไปอีกเป็นฐานเตี้ยกับฐานชิด กล่าวคือฐานแบบเดียวกันนั่นเองแต่ชนิดฐานชิดนั้นค้นพบที่กรุวัดบันไดหิน พุทธลักษณะก็พิมพ์เดียวกันกับพระหลวงพ่อจุกวัดพระศรีรัตนมหาธาตุนั่นเองแต่ไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมจึงปาดฐานทิ้ง พระหลวงพ่อจุกแบบหน้าอินเดียนั้นมีฐานสูงทั้งสองพิมพ์เป็นพระพิมพ์ดินเผาผ่าครึ่งซีกนอกจากนี้ยังมีผู้พบที่กรุวัดศรีสุทธาวาส เป็นชนิดฐานเตี้ย หลังพระมีกากบาทและก็พบพระหลวงพ่อจุกหลังมียันต์ เป็นพระเกจิอาจารย์สร้างเห็นจะเชื่อถือได้ก็ที่แตกกรุพระปรางค์ใหญ่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเท่านั้น เซียนพระทั้งหลายก็เตือนแล้วว่ามีปลอมเยอะเพราะพระหลวงพ่อจุกมีผู้นิยมสะสมมาก ราคาสี่ห้าปีก่อนก็หลักหมื่นแก่ๆ แล้ว ปัจจุบันหาได้ยากอย่างนี้ ลองดีดลูกคิดดูก็แล้วกันราคาจะแพงขึ้นเท่าไร

ประวัติการแตกกรุที่บันทึกไว้เมื่อปี พ.ศ. 2430 นั้น เป็นพระเนื้อดินละเอียดผสมว่านจากกรุพระปรางค์ใหญ่ แตกกรุออกมาพร้อมกับพระร่วง และพระหูยานกับพระอู่ทองท้องช้าง หรือพระอู่ทองลพบุรีด้วย มีการลักลอบขุดเจาะตามเจดีย์รายภายในวัดอีก แต่ได้พระไม่กี่องค์ สู้การขุดค้นในปีพ.ศ.2487 ไม่ได้ ตอนนั้นสงครามกำลังจะเลิก มีผู้ฉวยโอกาสลักลอบขุดพระที่บริเวณวิหารเก้าห้องได้พระ 261 องค์ (เซียนที่เขียนเรื่องพระหลวงพ่อจุกยุคก่อนคงนับเอง) ได้พระแผงเนื้อทองคำแต่ไม่ปรากฏพระหลวงพ่อจุก จนกระทั่งปี พ.ศ. 2501 มีการลักลอบขุดอีกตรงบริเวณกรุใกล้พระปรางค์ใหญ่ คราวนี้ได้พระหลวงพ่อจุกเนื้อชินทั้งหมด นอกจากนั้นในบันทึกกล่าวว่ายังได้พบพระร่วงยืนทรงเครื่องแบบกำแพงศอกหลายแผง และเมื่อกรมศิลปากรขุดค้นเมื่อปี พ.ศ.2508 ได้พระไปไม่กี่องค์

ทั้งนี้เราหันกลับมามองพระหลวงพ่อจุกแบบอู่ทองกันบ้างสิ่งแรกที่นึกขึ้นได้ก็คือ พระอู่ทองประทับนั่งบนฐานเขียง ฐานสำเภาลอยองค์ไม่มีฐานก็มี หลวงพ่อจุกประทับนั่งบนฐานที่น่าจะแท่นอาสนะคือ แท่นหินเพราะดูหนักแน่นแสดงว่าแม่แบบมาจากพระพุทธรูปศิลาหรือหิน แต่ก็พออนุโลมได้ว่า เป็นแท่นที่พัฒนามาจากฐานเขียงหรือฐานสำเภาของศิลปแบบอู่ทอง เพราะยกขอบแท่นนูนทั้งด้านบน และล่างทำท่าเหมือนฐานสำเภาที่เว้ากลางเหมือนกัน "หน้าแข้ง" ของพระอู่ทองเป็นสัน แต่พระหลวงพ่อจุกหาไม่เลยครับ แต่เส้นแสดง "แข้ง" ของท่านคมลึกชัดเจนอนุโลมได้เหมือนกัน พระอู่ทองบางพิมพ์ "แข้งไม่คม" การวางเข่าบางองค์เอาแบบลังกาบางองค์เอาแบบ "ขนมต้ม" กระมังวางเข่าใหญ่แต่ไม่กว้าง พระหลวงพ่อจุกวางเข่ากว้างได้สัดส่วนกับกายวิภาคทั้งหมด ลักษณะพระวรกายของพระหลวงพ่อจุกก็จัดว่าชะลูดเหมือนอู่ทองเช่นกัน แต่รู้สึกว่าจะเหมือนหรือคล้ายพระวรกายพระพุทธเจ้าแบบขอมลพบุรี หรือขอมบายนมากกว่าเพราะของลพบุรีเขาอกตั้งผายแบบพระร่วงบั้นพระองค์สอบคอด อย่างนี้แหละ เพียงแต่แตกต่างกันเพราะฝีมือสกุลช่างเท่านั้น พระกรรณยานยาวแบบอู่ทองรุ่น 1 ผมเวียนเวียนแบบลพบุรี จุกหรือเกศบน "จิ่ม" คือเป็นต่อมเล็กๆคล้ายๆเกศบังตูม แต่ไม่ยักกะใช่ พระหลวงพ่อจุกมีแบบลังกามีแวว "ยิ้ม" ไม่ทราบว่าเป็นลักษณะการยิ้มแบบ "สยาม" หรือ "บายน" แต่ยกผลประโยชน์เข้าข้างอู่ทองได้ว่ายิ้มแบบ"บายน"

สรุปแล้วพระหลวงพ่อจุกในแง่การมองแบบอู่ทอง ก็พอประมาณการได้ว่ามีศิลปอู่ทองเข้าผสมกลมกลืนไปแล้ว แม้ว่าพระหลวงพ่อจุกจะอยู่ในปรางค์สมาธิยิ้มแย้มแบบชนิดของลังกา หรือ เคร่งเครียด แบบหลวงพ่อจุกแบบ"อินเดีย" เรายังพอสู้ทน ทั้งที่พระพุทธรูป อู่ทองส่วนใหญ่อยู่ในปาง "มารวิชัย" ปางสมาธิก็มีแต่ก็หายากมาก เพราะว่าเอกลักษณะที่เป็น " อู่ทอง ชัดเจนอีกอย่างคือ "ไรพระศก" แบบเส้นลวดซึ่งยังไม่ใช่เหตุบังเอิญ พระหลวงพ่อจุกมีเส้นไรพระศก แบบเส้นลวดเสียด้วย อันนี้สำคัญมากเพราะเป็นสิ่งเดียวที่บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นศิลปสมัยอู่ทองเข้าผสมผสาน

ที่นี้เรากลับมาพิจารณาเรื่อง "กรุ" ตามหลักการพิจารณาตัดสินอายุสมัยของพระพุทะรูป เทวรุป พระพิมพ์พระเครื่องและโบราณวัตถุจำเป็นที่จะต้องพิจารณาเรื่องกรุเข้าประกอบด้วยเพราะว่าลักษณะของ "กรุ" ในเจดีย์สถูปปรางค์ หรือ ธาตุนั้นก็บ่งบอกยุคสมัยและก็ต้องทราบประวัติความเป็นมาของชนิดสถูป เจดีย์ ธาตุ และปรางค์ด้วยว่าเป็นศิลปสมัยใด น่าจะสร้างเมื่อไหร่ ถ้ามีแผ่นลานเงิน-ลานทอง ศิลาจารึกจดหมายเหตุ พงศาวดาร ตำนาน นิยายพื้นบ้านฯลฯ เข้าประกอบด้วยเราจะได้ข้อเท็จจริงที่ใกล้เคียงมากหรือชัดเจนไปเลยเพราะมีจารึกบ่งบอก และถ้าไม่มีจารึกก็ดังกล่าวข้างต้นนั้นแหละว่าสามารถประมาณการได้อย่างใกล้เคียงที่สุด การพิจารณาโบราณสถานเพื่อหาอายุสมัยจึงเป็นหลักวิชาการไม่ใช่เรื่อง "เดาสุ่ม"

กรุที่เกี่ยวข้องกับ "พระหลวงพ่อจุก" ก็คือพระปางใหญ่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ หรือที่ชาวลพบุรีเรียกกันพื้นๆว่า "วัดพระธาตุ" ลักษณะพระปรางค์ความจริงก็คือ ปราสาทขอมหรือเทวสถานของศาสนาพราหมณ์ฮินดู หาใช่พุทธสถานไม่ เมื่อ "ข้อเท็จจริง" เป็นเช่นนี้ก็แสดงว่า ปรางค์ใหญ่วัดพระศรีฯ มีที่มาลึกซึ้งตั้งแต่ครั้ง "เมืองกัมโพช" หรือกรุละโว้ยังนับถือศาสนาพราหมณ์จริงๆ แล้วกรุงละโว้หรือเรียกหาในปัจจุบันว่า ลพบุรีนั้นเดิมนับถือศาสนาพุทธนิกายหินยาน มาก่อน เพราะเป็นเมืองมหาอุปราชหรือเมืองขึ้นหรือเมืองคู่กับเมืองนครชัยศรี(เดิม) หรือเมืองนครปฐม ซึ่งเป็นศุนย์กลางอาณาจักรทวาราวดีมาก่อน เจดีย์ในสมัยนั้นมีลักษณะเป็นสถูปทรงโอ่งคว่ำ เช่น เจดีย์สาญจี ในอินเดีย ต่อมาก็เป็นเจดีย์เหลี่ยมซ้อนกันขึ้นไป ไม่มีปรางค์หรือเทวสถานแบบปราสาทขอม ครั้นขอมได้เป็นใหญ่ในภูมิภาคนี้ ในสมัยพระเจ้าสูรยวรมันที่ 1 ซึ่งขยายอำนาจเข้ายึดกรุงละโว้จากมอญต่อเนื่องมาจนถึงรัชกาลพระเจ้าสูรยวรมันที่ 2 ได้เอาเมืองละโว้เป็นเมืองอุปราชหรือเมืองลูกหลวง กษัตริย์เขมรหรือขอมตอนนั้นนับถือศาสนาพราหมณ์โดยเปลี่ยนจากการนับถือพระศิวะมานับถือพระวิษณุหรือเปลี่ยนจากไศวนิกาย มาเป็นพราหมณ์ ไวศณพนิกาย เหล่าพราหมณ์ ดาบฤษีต่างๆ เข้ามาตั้งหลักแหล่งในกรุงละโว้ พระเจ้าสูรยวรมันที่ 2 จึงสร้างปรางค์สามยอก และปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุขึ้น ในโอกาสนี้ยังสร้างพระพุทธรูป เทวรูป ตามแบบอย่างพราหมณ์และพุทธศาสนาแบบมหายานขึ้นด้วยในคราวเดียวครั้งเสด็จระงับข้อพิพาทในเรื่องนับถือศาสนาต่างๆ ในหมู่ราษฎร เฉพาะปรางค์สามยอดนั้นใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 48 ปี จารึกมิได้ระบุว่า สร้างพร้อมกันกับปรางค์ใหญ่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ แต่คิดเอาไว้ว่า พระปรางค์วัดใหญ่การสร้างก็คงใช้เวลานานเช่นกัน รัชสมัยของพระเจ้าสูรยวรมันเริ่มเมื่อปี พ.ศ. 1656-1693 เนื่องจากพระองค์ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง โดยโค่นล้มอาณาจักรจามและคงได้เชลย "จาม" และ "มอญ" มาสร้างปรางค์ต่างๆ ในกรุงละโว้ไม่ใช่น้อย ปราสาทขอมเหล่านี้บางแห่งอาจจะไม่สำเร็จในสมัยพระองค์ แต่ปราสาทขอมหรือปรางค์เหล่านี้ เช่น ปรางค์ใหญ่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุก็อาจจะเป็นเทวสถานของพุทธศาสนาฝ่ายมหายานได้กระมังหรืออาจจะใช้ร่วมกับพราหมณ์เพราะท่าทางจะไปด้วยกันได้ ตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะเราก็ไม่เคยพบวัดฝ่ายมหายานในลพบุรีแม้แต่ซาก พระโพธิ์สัตว์ที่เป็นเทวรุปนั้นส่วนใหญ่พบแต่ใน "กรุ" ของปรางค์ใหญ่ และใส่ไหฝังดินมากมายเป็นที่น่าสังเกต พระหลวงพ่อจุกไม่มีทีท่าว่าจะเป็นพระพิมพ์มหายานสักหน่อย แต่ขึ้นไปอยู่กรุพระปรางค์วัดใหญ่ได้อย่างไรนั้นน่าคิดมากหรือว่าสิ้นอำนาจวาสนาขอมแล้ววัดร้าง สมเด็จพระรามาธิบดีที่2 ได้พัฒนาบูรณะสังขรณ์ให้เป็นเจดีย์หรือปรางค์ของพุทธศาสนา ข้อนี้มีหลักฐานแต่ก่อนหน้านั้นในสมัยพระราชบิดา คือ พระเจ้าอู่ทองมีการบูรณะปฏิสังขรณ์หรือไม่? ที่คิดเช่นนี้ เพราะหวังว่าถ้ามีการบูรณะเจดีย์หรือพระปรางค์ใหญ่ในสมัยอู่ทอง พระหลวงพ่อจุก ก็อาจถูกสร้างในช่วงระยะเวลานี้ และถูกบรรจุกรุพร้อม ๆกันกับพระพิมพ์พระเครื่องสมัยลพบุรี ซึ่งดูเหมือนจะมีอายุสมัยต่างกันในกรุนี้ยังมีพระพิมพ์สมัยศรีวิชัยด้วยยิ่งจะทำให้ไขว้เขว ความจริงแล้วพระสมัย สูงกว่าย่อมเป็นแม่แบบ ก็อาจจะถูกเก็บบรรจุในกรุด้วยร่วมด้วยกับพระสมัยต่ำลงมาเช่น อย่างพระหูยาน พระซุ้มกระรอกกระแต พระตรีกาย (อู่ทอง) เป็นต้น เพราะว่าพระพิมพ์พระเครื่องที่แตกกรุวัดพระปรางค์ใหญ่ หลายพิมพ์ก็มีการสร้างขึ้นอีกในสมัยต่อๆ มาส่วนพระหลวงพ่อจุกนี้จะอย่างไรเสียก็ไม่มีอายุสูงกว่าสมัยอู่ทองยุคปลายคือ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 19-20 และคงมีอายุเก่าแก่ประมาณ 700ปีเศษๆ แต่ผู้รู้บางท่านแย้งว่า ศิลปสมัยอู่ทองยุคต้นๆ นั้นได้รับอิทธิพลสมัยลพบุรี และทวาราวดีซึ่งเป็นสมัยสูงกว่า พระหลวงพ่อจุกจะมีอายุการสร้างสูงขึ้นนับจากปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2539 ซึ่งอาจเก่แก่ประมาณ 900 ปี เศษ

ความจริงปรางค์ใหญ่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ หากสร้างในระหว่างปี พ.ศ. 1659-1693 หรือไม่เสร็จต่อมาถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มหาราชองค์สุดท้ายของขอม ซึ่งศิลปขอมบายนรุ่งเรืองมากในสมัยพระองค์ มีหลักฐานแน่ชัดว่าพระองค์ปฏิรูปศาสนาอีกครั้งหลังจากขยายอาณาจักรออกไปกว้างขวางทรงรับเอาศาสนาพุทธฝ่ายหินยานจากมอญ แต่ตัวพระองค์เองคงนับถือศาสนาพุทธฝ่ายมหายานสันนิษฐานได้จากการที่พระองค์ทรงสร้างนครรธมและถนนสายต่างๆ จากนครธมไปยังเมืองประเทศราชในเขตขัณฑสีมาของพระองค์สายสำคัญที่สุดจะละเว้นไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยก็คือจากนครธมหรือเมืองยโสธรราชธานีสุดท้ายของอาณาจักรขอมโบราณผ่านเข้ามาทางแผ่นดินต่ำสู่มณฑลจันทรบุรี เข้ามาถึงเมืองละโว้แล้วต่อขึ้นไปถึงลำน้ำลึกเมืองพิษณุโลก สุโขทัยและสวรรคโลก เพราะถนนสายนี้เอง ที่อาจจะนำเอาศิลปแบบบายนเข้าเผยแพร่และส่งอิทธิพลต่อศิลปสมัยอู่ทองในครึ่งศตวรรษต่อมาพระเจ้าชัยวรมันที่มันที่ 7 จึงเป็นผู้สมควรกล่าวถึงเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นผู้ก่อให้เกิดศิลปสมัยลพบุรีและต่อผสมมาถึงสมัยอู่ทองดังดังกล่าว

ส่วนพระหลวงพ่อจุกนั้น ดังกล่าวแล้วว่า คงสร้างเมื่อขอมสิ้นวาสนาแล้ว พุทธลักษณะต่างๆ จึงแตกต่างไปจากพระพิมพ์สมัยลพบุรีโดยเกือบจะสิ้นเชิงมีอิทธพลทางศิลปสมัยลพบุรีบ้างเพียงเล็กน้อยมองดูโดยรวมแล้ว พระหลวงพ่อจุกน่าจะเป็นพระพิมพ์ดินเผาฝีมือสมณฑูตหรือพระเถระชาวลังกามากกว่า เพราะในลพบุรีสมัยนั้นพระเถระ และพระภิกษุสงฆ์ชาวลังกาเข้ามาเมืองไทยมากในลพบุรีมีวัดชาวลังกาชื่อ วัดสิงหล และอีกวัดหนึ่งผู้เขียนลืมชื่อวัดนั้นไปเสียแล้ว และทั้งสองวัดนี้ก็ถูกทำลายไปหมดสิ้นแล้วด้วย อย่างไรก็ตามจัดว่า เป็นพระพิมพ์ลพบุรีก็ไม่ผิดอะไร เพราะขึ้นกรุที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุดังกล่าวแล้ว

โดยคุณ BLACKEYE (344)  [พฤ. 21 ก.พ. 2551 - 10:17 น.]



โดยคุณ k9cob (14.3K)  [พฤ. 21 ก.พ. 2551 - 14:15 น.] #236474 (1/6)
ขอบคุณที่หาข้อมูลดีๆ มาให้ทราบกันครับ

โดยคุณ ltsomsak (0)  [พฤ. 21 ก.พ. 2551 - 14:20 น.] #236477 (2/6)
ขอบคุณมากครับได้ความรู้ดีครับ

โดยคุณ kuekul (845)  [พฤ. 21 ก.พ. 2551 - 14:47 น.] #236496 (3/6)

โดยคุณ pusit (1.7K)  [พฤ. 21 ก.พ. 2551 - 18:51 น.] #236648 (4/6)
ข้อมูลเยี่ยมมากครับ ควรอ่านครับ

โดยคุณ ฌาณเมฆสิทธิ์ (2.7K)  [พฤ. 21 ก.พ. 2551 - 19:12 น.] #236670 (5/6)

โดยคุณ podsung (364)  [พฤ. 21 ก.พ. 2551 - 21:34 น.] #236792 (6/6)
ข้อมูลแน่น ขอบคุณตรับที่เพิ่มความรู้ให้ครับ

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM
www1