ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : สุดยอดพระคงกระพันแห่งวัดระฆัง-พระระฆังหลังค้อน



(D)


นอกเหนือจากพระตระกูลสมเด็จอันได้แก่ พระสมเด็จวัดระฆัง ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และ พระปิลันทธ์ ของสมเด็จพระพุฒาจารย์( ทัด ) ซึ่งสร้างต่อเนื่องสืบกันมาจนถึงสมัย หลวงปู่นาค จวบจนปัจจุบัน พระเครื่องอีกชนิดที่ได้รับความนิยมตลอดจนยอมรับเล่นหากันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ พระระฆังหลังค้อน ซึ่งนักสะสมรุ่นก่อน ๆ เชื่อถือในประสบการณ์ด้านคงกระพันถึงขนาดให้คำจำกัดความไว้ว่า " ปลิงไม่เกาะ" อันแสดงให้เห็นถึงประสบการณ์ทางด้านมหาอุตม์และคงกระพัน ที่ได้รับการเชื่อถือมาเป็นเวลายาวนาน
พระระฆังหลังค้อนจัดเป็นพระเครื่องขนาดเล็กมีขนาดความกว้างประมาณ1.3ซม.สูงประมาณ
2 ซม.ด้านหน้าปรากฏพุทธลักษณะเป็นรูปพระปฏิมากรปางสมาธิ ประทับบนอาสนะบัว 2 ชั้น ระหว่างพระเพลา กับอาสนะมีฐานเขียงกั้น องค์พระอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว ผนังพื้นด้านหน้าข้างองค์พระจะปรากฏใบโพธิ์ มีลักษณะเป็นเม็ดกลม รายรอบพระเศียร ด้านหลังเป็นพื้นเรียบ ตรงกลางมักมีรอยบุ๋มเป็นแอ่ง คล้ายรอยค้อนที่ใช้ตบแต่งพื้นด้านหลังพระหลังจากที่หล่อให้เรียบร้อยอันเป็นที่มาของชื่อที่ใช้เรียกขานพระพิมพ์นี้ บางองค์ที่หลังเรียบสนิท จะมีรอยตะไบตบแต่ง เพื่อให้พระเรียบร้อยสวยงาม เนื้อหาของพระระฆังหลังค้อน เป็นพระเครื่องเนื้อโลหะทองผสม แก่ทองเหลือง การหล่อนั้น ส่วนใหญ่จะนำแผ่นยันต์ของพระคณาจารย์ที่เข้าร่วมพิธี และชนวนหล่อพระของเก่าที่ใช้หล่อในพิธีสำคัญต่าง ๆ ในสมัยนั้น มาร่วมหล่อด้วย
สำหรับผู้สร้างในปัจจุบันยังแบ่งความเชื่อออกเป็น 2 กระแส กระแสหนึ่งว่า สร้างโดยและปลุกเศกอาจารย์พา พระลูกวัดระฆังฯ แล้วหลังจากนั้น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(มรว. เจริญ อิศรางกูร ณ อยุธยา) เป็นเพียงผู้นำมาแจกจ่าย
ส่วนอีกกระแสหนึ่งเห็นว่า การหล่อพระแบบโบราณ มีพิธีการสร้างที่ยุ่งยากและซับซ้อน ยิ่งเป็นการสร้างพระหล่อในยุคสมัยนั้น นับเป็นเรื่องใหญ่โตมาก อาจารย์พา เป็นเพียงพระลูกวัดไม่น่าที่จะทำสำเร็จได้เพียงลำพัง
ซึ่งหากประมูลข้อมมูลตามหลักฐานที่ปรากฏจึงน่าจะเป็นการดำเนินการของพระอาจารย์พา ในฐานะแม่งานที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินงานแทนสมเด็จพระพุฒโฆษาจารย์ ซึ่งมีอายุมากเข้าสู่บั้นปลายของชีวิต และเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ส่วนสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์น่าจะมีส่วนร่วมในการจัดหาวัสดุอุปรณ์ให้พอเพียงแก่การสร้างพระเป็นจำนวนมาก อีกทั้งช่วยนิมนต์พระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นมาร่วมในพิธีพุทธาภิเษก ซึ่งพระระฆังหลังฆ้อนมีการสร้างขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรก สร้างและประกอบพิธีพุทธาภิเษกในพระอุโบสถวัดระฆังโฆษิตาราม ส่วนครั้งต่อมา ประกอบพิธีกันที่หอกลาง คณะ1 ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
หากจะแยกแยะถึงพระที่หล่อในครั้งแรกและครั้งที่2 ดูจะเป็นเรื่องยาก เนื่องจากมีจำนวนพระมากและหล่อด้วยกรรมวิธีโบราณและมีหลายพิมพ์ทรง ส่วนใหญ่นักสะสมจะแยกแยะจากกระแสเนื้อหาของพระเป็นหลัก โดยพระที่จัดสร้างขึ้นครั้งแรกกระแสเนื้อจะออกเหลืองแบบทองดอกบวบ บางองค์จะออกกระแสเหลืองอมเขียว ส่วนที่สร้างในครั้งต่อมา กระแสเนื้อจะออกสีเหลืองอ่อน ส่วนพระที่กระแสเนื้อออกแดงเข้มคล้ายสีทองแดงเถื่อนหรือที่เรียกว่าเป็นเนื้อสัมฤทธิ์เท่าที่พบเข้าใจว่าเป็นเนื้อโลหะก้นเบ้าไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นพระที่สร้างครั้งแรกหรือครั้งหลัง
ประวัติของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(มรว. เจริญ อิศรางกูร ณ อยุธยา ) องค์นี้เป็นคนละองค์กับ สมเด็จฯ แห่งวัดเทพศิรินทร์ และเขาบางทรายที่มีความสัมพันธ์เป็นองค์อุปัฌาช์ของท่านเจ้าคุณนรฯ
ทรงมีพระนามเดิมว่า หม่อมราชวงศ์ เจริญ อิศรางกูร ณ อยุธยา เป็นโอรสของหม่อมเจ้าถึก ในสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรานุรักษ์ ต้นราชสกุล อิศรางกูร ณ อยุธยา
เกิดที่บ้านบางอ้อ จังหวัดนครนายก เป็นที่ซึ่งบิดาตั้งบ้านเรือนอยู่จวบจนในรัชสมัยรัชกาลสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงย้ายตามบิดาเข้ามาในพระนคร และเริ่มต้นเรียนอักขระสมัยในสำนักบิดาก่อน แล้วจึงเรียนบาลีที่สำนักอาจารย์จีน จนมีอยุได้ 7 ชันษา หม่อมเจ้าถึกจึงนำเข้าถวายเป็นศิษย์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัด) แห่งวัดระฆังเมื่อครั้งยังเป็นเปรียญอยู่ที่วัดระฆังและต่อมาได้เรียนพระปริยัติธรรมที่สำนักนี้ และอีกหลายสำนักเช่น สำนักพระอมรเมธาจารย์(เกษ), สำนักหม่อมเจ้าชุมแสงผู้เป็นลุง, สำนักพระโหราธิบดี(ชม) นอกจากนี้ที่สำคัญยังได้ร่ำเรียนสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) และสมเด็จพระวันรัตน์ (แดง) แห่งวัดสุทัศน์จนถึงปีพศ.2413 จึงได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดระฆังโฆษิตาราม จนกระทั่งอายุครบอุปสมบท พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้ารับเป็นนาคหลวง และได้อุปสมบท ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว) โดยมีหม่อมเจ้าสมเด็จพระพุทธบาทปิลันทธ์เป็นองค์อุปัชฌาช์มีฉายาว่า ญาณฉันโท โดยทางการศึกษาท่านสามารถสอบเปรียญ 3 ได้ตั้งแต่เป็นสามเณร เมื่อปี พศ.2413 และต่อมาในปี พศ. 2419 สามารถสอบได้เปรียญ 4 พศ.2425 สอบได้เปรียญ5
จากนั้นเมื่อถึงพศ. 2430 ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระราชาคณะ มีราชทินนามพิเศษ(โดยปรกติตำแหน่งของพระจะมีราชทินนามอยู่แล้วเช่นสมเด็จพระพุทโฆษาจารย์ ราชทินนามพิเศษเป็นราชทินนามที่ตั้งขึ้นใหม่เท่านั้น)ที่ พระราชานุพัทธมุนี โปดให้อาราธนาไปครองวัดโมลีโลกยารามเป็นปฐม และต่อมาในปี พศ.2435 หม่อมเจ้าสมเด็จพระพุฒจารย์(ทัด)ย้ายไปครองวัดพระเชตพนฯ จึงอาราธนาให้ท่านมาครองวัดระฆังฯจากนั้นเป็นต้นมา หวังข้อมมูลนี้คงเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจนะครับ ว่าง ๆ มีอะไรที่เป็นสาระน่ารู้จะลองมาเรียบเรียงให้ฟังใหม่ครับ มีข้อผิดพลาดขออภัยด้วยครับ สำหรับผู้ที่รู้แล้วขอขอบคุณที่สนใจเข้ามาชมครับ
จริงใจต่อกันครับ

โดยคุณ jorawis (204)  [พ. 01 มี.ค. 2549 - 12:55 น.]



โดยคุณ jorawis (204)  [พ. 01 มี.ค. 2549 - 13:00 น.] #24684 (1/8)


(D)


รูปด้านข้างและใต้ฐานครับลองสังเกตกระแสเนื้อ และร่องรอยของการตะไบแต่งพระครับ

โดยคุณ พันชาติ (499)  [พ. 01 มี.ค. 2549 - 16:35 น.] #24694 (2/8)
ข้อมูลเยี่ยมครับ

โดยคุณ sakchai323 (2K)  [พ. 01 มี.ค. 2549 - 17:34 น.] #24701 (3/8)
จิ๊วแต่แจ๋วครับ

โดยคุณ jorawis (204)  [พ. 01 มี.ค. 2549 - 20:08 น.] #24707 (4/8)
ขอเพิ่มรูปถ่ายสมเด็จพระพุทธาจารย์(มรว.เจริญ อิศรางกูร ณ อยุธยา)ครับ พอดีค้นมาได้และหาชมภาพท่านได้ค่อนข้างยากครับ

โดยคุณ jorawis (204)  [พ. 01 มี.ค. 2549 - 20:09 น.] #24708 (5/8)


(D)
เพิ่มรูปครับ

โดยคุณ ปื๊ด_ปู่นนท์ (34)  [อา. 05 มี.ค. 2549 - 02:10 น.] #25013 (6/8)
เยี่ยมครับพี่...แล้วสร้างครั้งแรกกับครั้งหลัง
ห่างกันนานหรือป่าวครับ แล้วราคาต่างกันใหม๋ครับ

โดยคุณ youth (502)  [พ. 22 ก.ย. 2553 - 10:09 น.] #1310650 (7/8)
https://www.g-pra.com/auction/view.php?aid=4927276

โดยคุณ youth (502)  [พ. 22 ก.ย. 2553 - 10:09 น.] #1310651 (8/8)
https://www.g-pra.com/auction/view.php?aid=4927276

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM