ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : @...สิงห์เมตตามหาอำนาจ " ง า แ ก ะ " หลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร จ.นครสวรรค์...@



(D)


@...สิงห์เมตตามหาอำนาจ " ง า แ ก ะ " หลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร จ.นครสวรรค์...@ ขนาด 3.0 x 3.0 ซม. ตัวใหญ่ ล่ำ หนา งาสวย สมบูรณ์ เดิมๆ สร้างตามตำหรับการสร้างของ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ ทุกขั้นตอน ใต้ฐาน เขียน " หลวงพ่อจ้อย ปี ๔๘ วัดศรีอุทุมพร " พร้อมกล่องเดิมๆจากวัด รับประกันความแท้ทุกกรณี เปิดราคา 12,000 บาท สนใจติดต่อ ต้อม มหาดไทย โทร 085-9600099

โดยคุณ superman99 (1)  [อ. 24 เม.ย. 2550 - 11:49 น.]



โดยคุณ superman99 (1)  [อ. 24 เม.ย. 2550 - 11:50 น.] #93589 (1/3)


(D)
@...สิงห์เมตตามหาอำนาจ " ง า แ ก ะ " หลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร จ.นครสวรรค์...@

โดยคุณ superman99 (1)  [อ. 24 เม.ย. 2550 - 11:51 น.] #93590 (2/3)


(D)
@... หลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร “เสกพระได้ผล-เสกคนได้ดี”...@

มีคำกล่าวยกย่องว่า “หลวงพ่อจ้อย จนฺทสุวณฺโณ” เจ้าอาวาสวัดศรีอุทุมพร นั้นเป็น “เทพเจ้าแห่งจังหวัดนครสวรรค์” ด้วยเชื่อกันว่า ท่านสำเร็จอภิญญา บรรลุฌานชั้นสูง สามารถล่องหนย่นระยะทางได้ สามารถล่วงรู้ภาวะจิตของผู้อ่าน และหยั่งรู้ถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้ และที่ได้ยินได้ฟังกันบ่อยก็คือ ความเป็นพระผู้มีวาจาสิทธิ์

คำกล่าวเหล่านี้เป็นเรื่องจริงจากปากของผู้ที่ประสบพบเห็นในบารมีของเกจิอาจารย์รูปนี้ ซึ่งมีบันทึกไว้ในหนังสืออนุสรณ์ที่ระลึกครบรอบ 91 ปี หลวงพ่อจ้อย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า “หลวงพ่อจ้อยท่านไม่ธรรมดาทีเดียว”

เพียงแต่ว่า ไม่เคยมีใครได้ยินได้ฟังจากปากของท่าน เพราะด้วยอุปนิสัยที่อ่อนน้อมถ่มตน ไม่พูดจาโอ้อวดคุณวิเศษ ไม่ว่ากับพระหรือฆราวาสที่ใกล้ชิด ใครจะเห็นหรือไม่เห็นไม่เป็นไร เพราะตั้งใจรับใช้พระศาสนามากกว่าการแสดงฤทธิ์ที่ผิดวิสัยของสงฆ์

ที่สำคัญ ท่านได้รับการขนานนามว่าเป็น “พระนักปลุกเสก” รูปหนึ่ง ซึ่งมิได้หมายถึงการปลุกเสกวัตถุมงคลเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงการ “ปลุกเสกคน” อีกด้วย

นามของท่านว่า “จ้อย” แต่วิชาอาคมไม่จ้อยเหมือนชื่อ เพราะท่านคือศิษย์โปรดของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ซึ่งไม่ต้องบรรยายสรรพคุณกันให้มาก นอกจากนี้ ยังมีหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ฯลฯ แค่นี้ก็นับว่าวิชาของท่านเหลือกินแล้ว

หลวงพ่อเป็นชาวต.พรวงสองนางอ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี เกิดเมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2456 เป็นบุตรของนายแหยม และนางบุญ แห่งตระกูล “ปานสีมา” เหตุที่ได้ชื่อว่า “จ้อย” ก็เพราะวัยเยาว์มีรูปร่างค่อนข้างเล็กผอม ซึ่งคำว่า “จ้อย” นั้น ภาษาลาวพื้นบ้านเรียกว่า “จ่อย” แปลว่า “ผอม”

สมัยเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เป็นที่รักใคร่ของครอบครัว เมื่อเติบใหญ่ได้ 20 ปีก็เข้าอุปสมบทเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2476 ณ พัทธสีมาวัดดอนหวาย ใกล้บ้านเกิด โดยมีพระครูปลัดตุ้ย เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์บุญธรรม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์บุญตา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “จนฺทสุวณฺโณ” มีความหมายว่า “ผู้มีผิวพรรณงามดั่งพระจันทร์”

หลังจากนั้นท่านได้ไปจำพรรษาที่วัดดอนม่วง อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม จนกระทั่งสอบได้นักธรรมตรี จึงย้ายมาอยู่ที่วัดพรหมจริยาวาส อ.เมือง เพื่อเรียนต่ออนักธรรมโท เมื่อสอบได้แล้วก็มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ ศึกษาบาลีเพิ่มเติมในสำนักวัดระฆังโฆสิตาราม

แต่ด้วยเหตุที่ความจำไม่ค่อยดี จึงเบนเข้มไปเรียนศึกษาด้านพระอภิธรรมที่วัดมหาธาตุกับพระอาจารย์เจชิน ภิกษุชาวพม่า ก่อนจะมาเน้นด้านปฏิบัติกรรมฐานโดยเฉพาะ

ทางด้านไสยเวทย์วิทยาคมนั้น ท่านได้รับการถ่ายทอดมาจากสุดยอดพระคณาจารย์ดังในอดีตหลายองค์ในช่วงที่ออกธุดงค์ตามสถานที่ต่างๆ นอกจากหลวงพ่อเดิม,หลวงพ่อจง และหลวงพ่อเงิน แล้ว ยังไปได้วิชาจากหลวงปู่ฉาบ วัดคลองจันทน์ ชัยนาท เจ้าตำรับเครื่องรางนกคุ้ม,หลวงพ่ออินทร์ วัดเกาะหงษ์ นครสวรรค์

สำหรับหลวงพ่อเดิมนั้นถือว่ามีความผูกพันกันมาก เพราะฉะนั้นตำรับตำราวิชาไสยศาสตร์ที่หลวงพ่อจ้อยนำมาใช้ จึงถอดแบบมาจากหลวงพ่อเดิมชนิดไม่ผิดเพี้ยน และทุกครั้งที่ท่านสร้างพระเครื่อง-วัตถุมงคล จึงบังเกิดความเข้มขลังทางพุทธคุณไม่ต่างจากของผู้เป็นอาจารย์แต่อย่างใด

ในปีพ.ศ.2485 ท่านได้รับการอาราธนานิมนต์มาเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีอุทมพร เนื่องจากญาติโยมเห็นความลำบากของบุตรหลานเวลาจะบวชต้องเดินทางไปวัดที่ห่างไกล อีกทั้งไม่มีโบสถ์ให้พระสงฆ์ประกอบสังฆกรรม และที่สำคัญกว่านั้นคือ ไม่มีเจ้าอาวาสปกครองวัด

ด้วยความสงสารชาวบ้านและห่วงโยมพ่อโยมแม่ ท่านจึงตัดสินใจรับภาระหน้าที่สมภาร เริ่มต้นบริหารวัด พัฒนาอารามจนงดงามขึ้นตามลำดับ จากวัดที่แทบจะร้างท่านได้สร้างเสียจนใหญ่โต สามารถปลุกศรัทธาพุทธศาสนิกชนมาร่วมบุญกันไม่ขาดสาย

ทุกวันนี้ของหลวงพ่อจ้อย นอกจากได้รับอาราธนาไปร่วมพิธีพุทธาภิเษก และประกอบพิธีกรรมมงคลต่างๆ แล้ว งานใหญ่ที่ท้าทายท่านอยู่เสมอก็คือ “งานพัฒนา” เพราะท่านถือว่าเป็นงานที่สร้างคุณค่า ความมั่นคงแห่งพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ รวมทั้งเป็นบ่อเกิดวัฒนธรรมประจำชาติ สร้างความสมัครสมานสามัคคีของหมู่คณะอีกด้วย

ท่านจึงเน้นหนักในการพัฒนาคน ให้มีคุณภาพมากที่สุด พระสงฆ์สามเณร อุบาสกอุบาสิกา หรือใครก็ตามที่เข้ามาอยู่ในวัด ท่านจะช่วยอบรมสั่งสอนแนวทางพัฒนาตนเองโดยอาศัยเมตตาธรรมเป็นเครื่องชี้นำอยู่เสมอ ซึ่งนับรวมเป็นเวลาที่ยาวนานถึง 72 ปี มีลูกศิษย์ลูกหาได้ดิบได้ดีจำนวนมาก

รางวัลเกียรติยศที่การันตีถึงคุณงามความดีของท่านคือการได้รับพระราชทานเสาเสมาธรรมจักร และประกาศเกียรติคุณในฐานะผู้กระทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ประเภทส่งเสริมการพัฒนาชุมชน โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อปีพ.ศ.2534

ปัจจุบันท่านอยู่ในวัยใกล้ 94 ปี แต่ก็ยังมีความห่วงใยในงานการพัฒนาวัดและพัฒนาชุมชน ซึ่งท่านจะทำต่อไปจนกว่ากายสังขารสุดจะทานทนไหว เพราะในใจของท่านมีแต่คำว่า “พัฒนา” ไม่สิ้นสุด พระเถระเช่นท่านนับว่าเกิดมาเพื่อพระศาสนาอย่างแท้จริง และหาได้ยากยิ่งเข้าไปทุกวัน!!!

โดยคุณ superman99 (1)  [อ. 04 ธ.ค. 2550 - 21:52 น.] #192488 (3/3)
@...ปิดรายการครับ...@

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM
www1