ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : หลวงปู่พุธ ฐานิโย



(N)


หลวง พ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา เคยเล่าให้ผมฟังว่า ท่านมีลูกศิษย์ผู้ชายอยู่ 2 คน สมมตินามว่า “ยอด” กับ “ยิ่ง” ทั้งสองเป็นคนใจถึง เข้าทำนอง “ใจนักเลง” (ไม่ใช่อันธพาล) เขา 2 คนนับถึงหลวงพ่อพุธมาก เคยมาขอพระจากท่าน ท่านก็ให้เหรียญ รุ่นดีเซลราง ซึ่งเป็นเหรียญรุ่นสองในชีวิตท่าน แต่เป็นรุ่นแรก ขณะที่มาเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสาลวัน แก่เขาไปคนละเหรียญ เขาก็แขวนคอทันที

แขวน ไม่นาน ยอดก็ประคองยิ่งมาต่อว่าหลวงพ่อเป็นการใหญ่ว่า พระรุ่นเดียวกัน รับพร้อมกัน แต่ทำไมไม่ขลังเลย เจ้ายิ่งโดนยิงทะลุไส้แตก เพราะอะไร หลวงพ่อเงียบไปในทันที ไม่ใช่เงียบในลักษณะ “จน” แต่เป็นการ “ตรวจสอบ” บางอย่างโดยวิธีของท่าน สักพักท่านก็พูดเย็นๆ ขึ้นว่า
“เพราะเพื่อนคุณไปเปิดประตูทอง”

สอง คนนั้นงง อะไรคือประตูทอง ท่านเฉลยต่อ “ก็คุณ” ชี้ไปที่คนถูกยิง “ไปด่าแม่เขาเข้านะสิ นั่นละเปิดประตูทอง” สองหนุ่มก็กระจ่างใจในบัดดล จึงขอขมาหลวงพ่อแล้วเล่าถวายว่า
เขาไปดื่มสุราในร้านอาหารแห่งหนึ่ง พบกับคู่อริที่ไม่ชอบหน้ากันเลยเกิดตะลุมบอนขึ้น เขามีกันสองคน แต่พวกนั้นมีเกือบสิบ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ถอย วาดลวดลายจนนักเลงมวยหมู่ตั้งตัวไม่ติด 1 ใน 10 นั่นก็เลยชักปืนขึ้นมาแล้วกระโดดเข้าล็อกคอหนุ่มยอด เอาปืนกดขมับแล้วลั่นไกทันที

เล่าถึงตอนนี้หลวงพ่อทำมือทำไม้ประกอบ พลางว่า “มันยิงดัง..แต๊บ...แต๊บ...แต๊บ...สามนัดแต่ไม่ออก” ข้างหนุ่มยิ่งเห็นคู่อริเอาปืนจ่อหัวเพื่อนก็เข้าใจว่า “ข้างหนุ่มยิ่งเห็นคู่อริเอาปืนจ่อหัวเพื่อนก็เข้าใจว่า “ขู่” ให้กลัวเท่านั้น จึงร้องตะโกนออกไปว่า “...แม่! แน่จริงXXอย่าใช้ปืนสิวะ” ไอ้คนยิงฉุนกึก ใจกะจะฆ่าอยู่แล้วไม่ใช่แค่ขู่ เลยเบนกระบอกปืนไปที่คนปากเก่งแล้วลั่นไก
“ปัง”

แม่นยังกับจับไป วาง กระสุนทะลุท้องทันที หนุ่มยิ่งถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้น คู่อาฆาตเห็นท่าไม่ดี เลยเผ่นตะโพงกันไปหมด ทั้งสองจึงมีเรื่องมาต่อว่าหลวงพ่อด้วยประการฉะนี้

ก็เหรียญรุ่น เดียวกันรับพร้อมกัน อันหนึ่งยิงออก อันหนึ่งไม่ออก ทำไมจะไม่แปลกใจ เดชะบุญว่าหลวงพ่อมี “จิตรู้” ที่แจ่มใส ท่านจึงทราบความเป็นมาเป็นไปของคนทั้งสอง แล้วตอบ “เคลียร์” ให้เข้าใจหาไม่แล้วหลวงพ่อคงถูกให้ร้ายว่าไม่เก่งจริง

ได้โอกาสผมจึง เรียนถามว่า “แสดงว่าพระของหลวงพ่อห้ามคนแขวนด่าพ่อด่าแม่ใช่ไหมครับ” ท่านตอบว่า “ไม่ใช่แต่ของหลวงพ่อดอก ของใครก็ห้ามเหมือนกัน เพราะพระสงฆ์เวลาปลุกเสกพระ ท่านก็เชิญคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์ มาเหมือนๆกัน ฉะนั้นเมื่อไปลบหลู่คุณของท่านเหล่านั้น มันก็เท่ากับเราลบหลู่ครูบาอาจารย์ของเราด้วย”
“สรุปว่าพระของหลวงพ่อห้ามอะไรบ้างครับ”

ท่าน ยิ้มแล้วว่า “พระของหลวงพ่อห้ามคนแขวนลบหลู่บุพการี (คือพ่อแม่) ของตัวเอง และคนอื่น ห้ามลบหลู่ครูบาอาจารย์ของคนอื่น ถ้าทำได้อย่างนี้พระนั้นขลังจริง”

นั่นเป็นข้อห้ามที่ฟังมาจากท่าน
อา จื๊อ (คุณเพียรวิทย์ จารุสถิติ) เคยเล่าให้ผมฟังว่า คนแขวนพระหลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ ตั้ง 3 องค์ แต่ถูกยิงตาย ประดาศิษย์มาซักไซ้เอากับหลวงปู่ถึงกุฏิ เพราะพระที่แขวนก็แท้ แต่ถูกยิงเข้า หมายความว่าอย่างไร เรื่องนี้มันสั่นประสาท “คนเป็น” ที่ยังแขวนพระท่านเสียจริง จึงต้องถาม
ทำไมเป็นอย่างนั้น?

ท่านเงียบไปอึดใจ ก่อนตอบว่า
“พ่อแม่มัน มันยังไม่เอา จะให้พระเอามันได้อย่างไร”
สืบไป สืบมา ได้ความว่า เขาคนนั้นเป็นคนขี้เหล้า ขี้พนัน เมื่อขอเงินพ่อแม่ไม่ได้ก็ประเคนให้ด้วยแข้ง เข่า ไม่เอาพ่อเอาแม่จริงๆ

นี่ถ้าหลวงปู่ไม่แจ่มแจ้งในเชิง “ฌาน” ต้องจนแต้มอย่างไม่ต้องสงสัย
นั่น เป็นเรื่องที่สองพระเถระต่างวัยต่างยุคสมัยบอกเล่าได้ตรงกัน แสดงถึงข้อห้ามอย่างชัดเจนว่า พ่อ-แม่ เป็นของสูง จะนำมาพูดจาบจ้วงล่วงเกินไม่ได้เลย มิฉะนั้นจะมีผลดังที่เล่ามา
ยังไม่จบเพียงนั้น

เพื่อน ผมคนหนึ่งแขวนเหรียญ “พ.ฆ.อ.” เนื้อเงิน เป็นรูปสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) พระอุปัชฌาย์ของท่านเจ้าคุณนรฯอยู่ เหรียญนี้ท่านเจ้าคุณนรฯ ได้ทำการอธิษฐานจิตให้ถึง 2 ครั้ง 2 คราว เรียกว่า “ขลัง” พอดู
เมื่อผมพบเขาเรื่องที่คุยก็ไม่พ้นพระ ตอนหนึ่งผมถามว่ามีภรรยามาแล้วตั้ง 2 คน เวลาหลับนอนแบบนั้นถอดพระบ้างไหม เขาตอบอย่างมั่นใจ “ไม่ถอด” ผมตกใจมาก แต่ก็ทำหน้าให้เป็นปกติ ถามต่อว่า แล้วไปเที่ยวสถานบริการที่มีผู้หญิงแบบนั้น ถอดไหม “ไม่เคยถอด” หนำซ้ำเขายังถามคืนว่า “ถอดไปทำไม พระอยู่ที่ใจ”

เออ ! คนเรานี่ก็แปลก ถ้าว่าพระอยู่ที่ใจจริง แล้วจะแขวนพระเครื่องไปทำไมเล่า แล้วพระอะไรหนอที่เข้าไปสิงใจเพื่อนผมแล้วชวนมันไปเที่ยวที่อย่างว่า ชวนมันไปกินเหล้า ถ้าพระชนิดที่มันบอกมีจริง โปรดอย่ามา “อยู่ที่ใจ” ผมเลย
ผมเสียว !

แล้ววันแห่งความพลิกผันในชีวิตของเขาก็มาถึง เมื่อวันหนึ่งเพื่อนเอาปืนมาหยอก แล้วลั่นไกแบบหยอกๆ ลูกปืนก็เลยออกแบบหยอกๆ แต่ผลของมัน “ไม่ใช่หยอก”

เพราะมันทะลุปอด ซ้าย แล้วไปหยุดอยู่ที่กระดูกสันหลัง เมื่อแพทย์โรงพยบาลสมิติเวชดึงหัวกระสุนปืนออก น้ำไขสันหลังก็เยิ้มหนืบตามลูกกระสุนออกมาราวกับเยลลี่ ผลของมันก็คือทำให้เพื่อนของผมเป็นอัมพาตตั้งแต่เอวลงไปสุดปลายเท้าตลอด ชีวิต

สังเวยความดื้อ ด้วยวัยเพียง 24 ปี
เมื่อผมไปเยี่ยม เขารำพึงว่า “เชื่อนายเสียก็ดี” ผมมาคิดดูว่าถ้าเขาต้องมีอายุขัยสัก 70 ปี เขาต้องทรมานอย่างนี้ไปอีกตั้งเท่าไหร่ มันไม่คุ้มเลยกับที่เราเชื่อความเห็นของตนเองชนิดที่ไม่ยอมรับครูบาอาจารย์ เรื่องทำนองนี้ยังมีอีก
รุ่นน้องของผมคนหนึ่งชื่อ “จุ๊” มาขอพระหลวงปู่ทิม อิสริโก จากผม เพราะรู้ว่าผมมีเยอะ ผมก็ให้เหรียญห่วงเชื่อม 8 รอบไป เขาก็รีบนำไปเลี่ยมพลาสติกแขวนคอ วันหนึ่งเกิดอยากเที่ยวที่แบบนั้นประสาหนุ่มน้อย ก็ชวนน้องชายขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่โรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่งในตัวเมืองชลบุรี

ด้วยความที่ผมย้ำ “ข้อห้ามสากล” สำหรับพระทุกชนิดว่า

1. ห้ามด่าแม่
2. ห้ามเป็นชู้ลูกเมียเขา
3. ห้ามใส่พระเข้าสถานบริการทางเพศ หรือใส่มีเพศสัมพันธ์เด็ดขาด
ถ้า ฝ่าฝืน พระต้องเสื่อมแบบถาวร อย่างไม่ต้องสงสัย หนุ่มจุ๊ก็ได้คิด ก่อนจะเข้าไปเลยถอดพระออกจากคอไปสวมให้น้องชาย นาม “โจ้” ไว้แทน และกำชับว่าให้คอยอยู่นอกรั้วนี้ ห้ามเข้าไปเด็ดขาด พี่จะเข้าไปคุยกับเพื่อนเดี๋ยวออกมา ว่าแล้วก็จ้ำอ้าวเข้าไป ปล่อยให้น้องโจ้คอยอยู่นอกรั้ว

ข้างหนุ่มโจ้รออยู่ครึ่งชั่วโมง พี่ชายก็ไม่ยอมออกมา แดดก็ร้อน เลยคิดว่าขอเข้าไปหลบแดดที่ชายคาบ้านคงไม่เป็นไร คิดแล้วก็ล็อกมอเตอร์ไซค์ พลางเดินมุ่งตรงไปที่ตึก เพียงแค่หนุ่มโจ้เดินผ่านประตูรั้วเหล็กเข้าไปเท่านั้นเขาก็ต้องตกใจชะงัก อยู่กับที่เมื่อได้ยินเสียงวัตถุบางอย่างแตกดัง “เปรี๊ยะ”

เสียงนั้น อยู่ใกล้เหลือเกิน โจ้จึงก้มลงมองหารอบๆเท้า ด้วยเข้าใจว่าคงเหยียบเศษอะไร แต่ก็ไม่พบ ครู่เดียวก็เกิดเอะใจจึงล้วงสร้อยคอออกมาดู ปรากฏว่าพลาสติกที่เลี่ยมเหรียญหลวงปู่ทิมเกิดการ “ระเบิด” ย่อยๆ จนพลาสติกแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เฉพาะตรงด้านหน้าที่เป็นรูปท่านเท่านั้นที่คงสภาพเดิม
น่าอัศจรรย์จริงๆ

โจ้ ยืนงงคิดไม่ตกอยู่กับที่เป็นนานสองนาน เมื่อพอจะเข้าใจได้ลางๆ ก็เผ่นพรวดออกมายืนข้างมอเตอร์ไซค์ พอพี่ชายตัวดีเดินตัวลอยกลับมาก็ฉะเสียยกใหญ่ คาดคั้นว่าที่เข้าไปไม่ใช่บ้านเพื่อนใช่ไหม พี่ก็โวยวายว่ารู้ยังไง อย่ามามั่ว โจ้จึงงัดพระออกมาให้ดู
เลยเงียบไปอีกคน

แล้วสารภาพเสียงอ่อย “เออ! นั่น...ซ่อง...” จากนั้นก็ตรงมาหาผม 2 คนนั่นเลยได้ฟังเทศน์เสีย 3 ชั่วโมงรวด ก็ผมเสียดายของผมนี่นา

ผม เก็บเหรียญนั้นไว้ถึง 3 ปี เพื่อเป็นตัวอย่างบอกเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง จนพระหลวงปู่หายากเข้า คุณป๊อบ เจ้าของร้านข้าวมันไก่โอเชี่ยนจึงมาออดอ้อนขอเอาไป ไม่อย่างนั้นผมจะมีรูปเหรียญทั้งพลาสติกเดิมมาให้ชม
เห็นไหมเรื่อง “มาตุคาม” กับพระเข้ากันได้เมื่อไร กรณีหนุ่มจุ๊ถือว่าโชคดีที่หลวงปู่ทิมท่านเมตตา “แสดง” ให้รู้ว่าอาตมาไม่อยู่ด้วยละ แต่กรณีท่านเจ้าคุณนรฯท่านไปแบบเงียบๆ คนแขวนเลยไม่ทันระวังตัว อันตรายจริงๆ

พูดเรื่องนี้มีอีกเยอะ เพื่อนบางคนแขวนเหรียญหลวงปู่แช่ม วัดฉลอง จ.ภูเก็ต เข้าสถานบริการกลับออกมาเหลือแต่ตลับ เหรียญข้างในหายจ้อย สร้อยก็อยู่กับคอ ตลับก็ไม่ได้เปิด พระไปได้อย่างไร อีกคนใส่ตะกรุดหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เกิดหักโป้งเป็น 2 ท่อน ทันทีที่ใต้ชั้น 2 ของที่อย่างว่า
ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่

เดี๋ยวจะ เหมือนเพื่อนผมที่เอาอนาคตมาดับเพราะความดื้อรั้นของตัวเอง ด้วยข้อห้ามสากลทั้งหมดนั้นใช่ว่าผมจะบัญญัติขึ้นมาเองเสียเมื่อไร ผมก็ถามไถ่เอาจากครูบาอาจารย์เสียทั้งนั้นแหละครับ ทุกองค์บอกเหมือนกันเดี๊ยะ ผมก็ไม่กล้าดื้อกับท่านดอก

เพราะยังเสกเองไม่เป็น
ทั้ง หลายทั้งปวงที่เล่ามานั้นเป็นเรื่องของข้อห้ามสากล ทีนี้ก็เป็นเรื่องของ “ข้อห้ามเฉพาะ” บ้างละ ข้อห้ามเฉพาะ คือ พระเครื่องหรือเครื่องรางของขลังประดามีที่ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ แต่ละสำนักจะบัญญัติเอาไว้ว่า ห้ามอย่างนั้น อย่างนี้ หากว่าไม่ยอมทำตาม ผลน่ะหรือ...
เสื่อมสนิท

เช่น พระหลวงพ่อมุม อินทปัญโญ วัดปราสาทเยอร์ จ.ศรีสะเกษ มีข้อห้ามเฉพาะ ดังนี้
1. ห้ามลอดไม้ค้ำต้นกล้วย
2. ห้ามใช้มือทั้งสองกอบน้ำในบึง หนอง คลอง ที่ตนลงเล่นมาดื่มกิน
นี่ คือข้อห้ามเฉพาะที่จำเป็นต้อง “ถือ” ต่อท้ายข้อห้ามสากล คนชอบซื้อพระเคยฉุกคิดบ้างไหม หรือสนแต่ซื้อขายอย่างเดียว ถ้าเป็นดังนั้น อย่าแปลกใจเลยหากจะมีข่าวคนถูกยิงทะลุทั้งๆที่ใส่พระหลวงพ่อมุม
โทษท่านได้ไหมว่า “ไม่ขลัง”

หรือ แหวนมหาสัตตโลหะของหลวงพ่ออั้น คันธาโร วัดพระญาติการาม จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ห้ามแกว่งมือจุ่มนิ้ว ลงในแม่น้ำลำคลอง หรือแหล่งน้ำธรรมชาติทั้งหลาย มิฉะนั้นชักขึ้นมาจะเหลือแต่มือเปล่า
แหวนไปไหน?

ข้อนี้ไม่ทราบ ทราบแต่ว่าไปขอคืนได้ที่กฏิ เพียงแต่ทนฟังท่านดุด่าเสียหน่อยเป็นค่าแหวน นี่ลุงผมเจอมากับตัว หรือตะกรุดมหาจักรพรรดิของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก ที่มีข้อห้ามว่า “อย่าพกพาต่ำกว่าเอว” เพราะของๆท่านสำเร็จขึ้นด้วยบารมีของพระพุทธเจ้าเอาพระพุทธเจ้าไว้ต่ำได้ หรือ!

หรือของหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ วัดเพชรบุรี จ.สุรินทร์ ทุกชนิดมีข้อห้ามที่ว่า ไม่ให้กินเหล้ากินเบียร์อย่างเด็ดขาด กินเมื่อใดเสื่อมเมื่อนั้น
วลี “ไปสุรินทร์ต้องกินสุรา” คงถูกโค่น เพราะหลวงปู่นี่แหละ
แล้ว มันน่ากลัวดีไหม ถ้าเก็บพระของหลวงปู่หงส์ตกทอดไป 10 ปี 20 ปี ลูกหลานไม่รู้ข้อห้ามเอาใส่ไปกินเหล้า แล้วเกิดตีกัน ลูกหลานท่านจะเป็นอย่างไร
เหล่านี้คือสิ่งที่ควรศึกษาให้รู้ก่อนแขวน

ยัง มีอีกเยอะแยะ มากมายครับ เขียนมากไปก็เกรงจะเป็น “สอนพระสังฆราช” อีก จึงได้แต่วิงวอนผู้เลื่อมใสในพระเครื่องของขลังจงระวังระไว จะแขวนจะคาดสิ่งใดโปรดตรวจสอบที่มาที่ไปก่อนเถิด อย่าตามใจตัวเองจนเก่งเกินครู ไม่อย่างนั้นท่านอาจจะต้องเสียใจในภายหลัง
ขอให้จงรู้แจ้งเห็นจริงทุกท่าน สวัสดีครับ...


ที่มา :รณธรรม ธาราพันธุ์ http://www.suankhung.com

โดยคุณ ปฐมกรรมฐาน (231)  [ส. 06 เม.ย. 2556 - 22:25 น.]



โดยคุณ ปฐมกรรมฐาน (231)  [ส. 06 เม.ย. 2556 - 22:26 น.] #2770205 (1/4)
ธนาคารกสิกรไทย ชื่อบัญชี นายปริญญา
สาขาย่อยอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
เลขที่ 744 - 2 - 55321 - 6
พระอยู่ในสภาพเดิมๆ สนใจติดต่อ 084-6935029
ท่านใดสนใจพระรายการใด กรุณาโทรสอบถามก่อน ว่ารายการนั้นยังอยู่หรือเปล่า
รับประกันพระแท้ ( ทุกรายการ ) ภายใน 7 วัน นับจากวันที่ได้รับพระแล้ว
พระปลอมยินดีคืนเงินเต็มจำนวน ( ไม่มีการหัก )
แต่พระที่คืนมานั้นต้องอยู่ในสภาพเดิมๆ
ท่านใดที่โอนเงินแล้ว ช่วยโทรแจ้งด้วยนะครับ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว
ในการจัดส่งพระไปให้ท่านครับ

โดยคุณ ปฐมกรรมฐาน (231)  [ส. 06 เม.ย. 2556 - 22:26 น.] #2770206 (2/4)
พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) มีนามเดิมว่า พุธ อินทรหา เป็นบุตรคนเดียวของบิดา-มารดา เกิดที่ตำบลหนองหญ้าเซ้ง

อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี เมื่อเดือน ๓ ปีระกา ตรงกับวันพุธที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๕ บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ

อายุ ๑๕ ปี ที่วัดอินทร์สุวรรณ บ้านโคกพุทรา ตำบลนางเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร โดยมีท่านพระครูวิบูลย์

ธรรมขันธ์ เจ้าคณะอำเภอสว่างแดนดินเป็นพระอุปัชฌาย์ และท่านพระครูโพธิภูมิไพโรจน์ เป็นพระบรรพชาจารย์

ปี พ.ศ. ๒๔๘o หลังจากออกพรรษาเป็นเหตุบังเอิญให้ในขณะนั้นที่ ท่านเจ้าคุณ พระอริยคุณาธาร (ปุสโส เส็ง) ได้ธุดงค์มา

ยังจังหวัดสกลนคร ในฐานะเจ้าคณะตรวจการผู้ช่วยภาค ๔ ท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธารได้เกิดความเมตตาต่อสามเณรพุธ

เป็นอย่างมาก สามเณรพุธจึงได้มีโอกาสติดตามท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธารธุดงค์จากสกลนครไปยังจังหวัดอุบลราชธานี

เมื่อเดินทางไปถึง ได้เข้าพักที่วัดบูรพาและฝากตัวเป็นศิษย์ของ ท่านพระอาจารย์พร (พี่ชายของพระอาจารย์บุญ ชินวังโส)

ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ ท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ ซึ่งในขณะนั้นท่านพระอาจารย์เสาร์ได้มาจำพรรษาอยู่ ณ วัดบูรพา

ด้วยสามเณรพุธ จึงได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์เสาร์ และเริ่มรับการอบรมทางด้านปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นครั้ง

แรกแต่เดิมทีในสมัยแรกที่ท่านบรรพชาเป็นสามเณรนั้นท่านได้บรรพชาในสังกัดมหานิกายคณะ ที่วัดบูรพาแห่งนี้นอกจากจะ

ได้รับการอบรมทางด้านวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ท่านยังได้ศึกษาทางด้านพระปริยัติธรรมด้วย และสามารถสอบได้นักธรรมเอก

เมื่อมีอายุเพียง ๑๘ ปี ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ท่านพระอาจารย์เสาร์ได้พาสามเณรพุธเดินธุดงค์จากจังหวัดอุบลราชธานีเข้ามา

ยังกรุงเทพฯและพาไปฝากตัวกับ ท่านเจ้าคุณปัญญาพิศาลเถระ (หนู) เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม ให้ช่วยอบรมสั่งสอน

สามเณรพุธจึงได้ศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีและสามารถสอบได้เปรียญ ๔ ประโยคตั้งแต่ยังเป็นสามเณรนั่นเอง

สามเณรพุธได้จำพรรษาเรื่อยมา ณวัดปทุมวนารามแห่งนี้จนอายุครบบวช ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ท่านจึงได้รับการอุปสมบทโดยมี

ท่านเจ้าคุณพระปัญญาพิศาลเถระ (หนู) พระอาจารย์ของท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ และได้รับฉายาว่า "ฐานิโย" ต่อมาในปี พ.ศ.

๒๔๘๗ เป็นสมัยสงครามเอเชียบูรพา ท่านจึงได้อพยพกลับไปจำพรรษาที่วัดบูรพา จังหวัดอุบลราชธานี ในปี ๒๕oo ท่านได้รับ

พระราชทานสมนศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นตรีที่ พระครูพุทธิสารสุนทร และต่อมา พ.ศ. ๒๕o๙ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์

เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโทในนามเดิม และในปีถัดมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอกในนามเดิม

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ท่านดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดอยู่เป็นเวลา

๒ ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ นี้เองท่านยังได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นพิเศษในนามเดิมอีกด้วย ท่านจำพรรษา ณ

วัดหลวงแห่งนี้เป็นเวลา ๒ ปี และในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์อีกครั้ง เป็น พระราชาคณะ ชั้นสามัญ ที่ พระชิน

วงศาจารย์ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ได้มีการตั้งโรงเรียนพระสังฆาธิการขึ้นที่ วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ทางเจ้า

คณะภาคฯได้ขอให้ท่านมาเป็นกรรมการบริหารโรงเรียนพระสังฆาธิการในส่วนภูมิภาค ท่านจึงย้ายมาเป็น เจ้าอาวาสวัดป่าสาลวัน

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และในปี พ.ศ. ๒๕๓๗ ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระภาวนาพิศาลเถร

ในปี พ.ศ.๒๕๓๕ ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชสังวรญาณ

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านได้ทำประโยชน์ทั้งต่อพระบวรพุทธศาสนา และต่อสังคมเป็นอเนกอนันต์โดยสม่ำเสมอเรื่อยมา

ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เช่น รับเป็นองค์อุปถัมภ์ มูลนิธิหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ของโรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยา

ลัยขอนแก่น ท่านรับเป็นประธานและวิทยากรในการอบรมสมาธิครูและนักเรียนของเขตการศึกษาที่ ๑๑ อันได้แก่ จังหวัดนคร

ราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ และศรีสะเกษ อบรมธรรมปฏิบัติแก่ข้าราชการทหารบก กองทัพภาคที่ ๒ ให้การอบรมแก่ข้าราช

การกระทรวงศึกษาธิการ ให้การอบรมแก่ผู้เข้าปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ณ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓o

บรรยายธรรมในงานวันวิสาขบูชา ในสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาที่ท้องสนามหลวงเป็นต้น ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ท่านได้รับ

พระราชทานรางวัล เสมาธรรมจักรทองคำในด้านส่งเสริมการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศ จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ

นอกจากนี้ท่านยังจัดสร้างโรงเรียนชินวงศ์อุปถัมภ์ ซึ่งเป็นโรงเรียนในระดับประถมศึกษา ที่บ้านวะภูแก้ว อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา

มอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ทั้งในระดับ ประถม มัธยม และอุดมศึกษา มอบทุนสนับสนุนการก่อตั้งมูลนิธิ

ของโรงพยาบาล โรงเรียน ตลอดจนหน่วยงานราชการต่างๆ นอกจากนี้ยังได้ช่วยจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ให้กับโรงพยาบาลเสมอๆ

อีกทั้งยังมอบทุนสนับสนุนการก่อสร้างตึกสงฆ์อาพาธ โรงพยาบาลมหาราช จ.นครราชสีมา เป็นต้น

วาระสุดท้ายแห่งสังขาร หลวงพ่อพุธท่านได้อาพาธด้วยโรคมะเร็งในลำคอ และถึงแก่มรณภาพลง เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม

พ.ศ. ๒๕๔๒ เวลา o๗.๑๕ น. ณ. โรงพยาบาลมหาราช จังหวัดนครราชสีมา

อัตถาประวัติโดยย่อจาก หนังสือ อาจาริยบูชา พุธรักษา ๒๕๔๓

โดยคุณ ปฐมกรรมฐาน (231)  [พ. 13 เม.ย. 2559 - 12:22 น.] #3734044 (3/4)


(N)


พระปิดตารุ่นแรก

โดยคุณ ปฐมกรรมฐาน (231)  [พฤ. 12 พ.ค. 2559 - 21:00 น.] #3741024 (4/4)


(N)


เหรียญหลวงปู่พุธหลังนางกวัก

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM
www1