(D)
พระผงว่านอุดมโชคปฐมอรหันต์สุวรรณภูมิ (ขุนพันธ์ 108 ปี) บอกถึงตำนานาเรื่องราวอาณาจักรสุวรรณภูมิ ด้านหน้า ประกอบด้วย
1. ตรงกลาง เป็นวงกลม 2 วงว้อนกันิตรงกลางมีอักขระขอม (ยะ) วงกลมหมายถึงกระดุมล้อเกวียน ส่วนอักขระ (ยะ) คือพระศรีอริยะเมตตรัย ที่จะมาจุติในพุทธันดรที่5
2. ส่วนซี่ล้อทั้ง 4 เป็นรูปพระพุทธนั่งสมาธิ มีอักขระกลางอกองค์ละตัวคือ นะ มะ พะ ทะ เป็นธาตุประจำมนุษย์ส่วนพระเศียรค้ำวงล้อเกวียน หมายถึง พระเป็นผู้ประกาศและพยืนยันให้รู้ว่าสิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม นั้นตราบใดที่ยังที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมชั้นสูงก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏจักรอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
3. ระหว่างองค์พระทั้ง 4 มีเลข 1 ด้านล่าง ด้านบนมีอักขระเขียนว่า กุกกะสันโธ คือพระพุทธเจ้าในพุทธันดรที่1 ช่องที่ 2 มีเลข 2 ด้านล่าง ด้านบนมีอักขระเขียนว่า โกนาคมโน คือพระพุทธเจ้าในพุทธันดรที่ 2 ช่องท่ 3 มีเลข 3 ด้านล่าง ด้านบนมีอักขระเขียนว่า กัสโป คือพระพุทธเจ้าในพุทธันดรที่ 3 ช่องที่ 4 มีเลข 4 ด้านล่าง ด้านบนมีอักขระเขียนว่า สักกายบุตโต คือพระพุทธเจ้าในพุทธันดรที่
4. ล้อมด้วยวงล้อเกวียน มีอักขระ 13 ตัว เป็นพระคาถาป้องกันอันตรายของพระอาจารย์ต้นสำนักเขาอ้อ
5. รอบอักขระ 13 ตัว มีอักขระล้อมรอบเป็นวงกลม คือพระคาถา เยธัมมาฯ มีอยู่ในแผ่นดินของไทยเมื่อ 2000 กว่าปีมาแล้ว เป็นคำตรัสสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องเหตุดังนี้ ธรรมทั้งหลายเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตตรัสเหตุธรรมเหล่านั้นและความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณมีปกติตรัสอย่างนี้ ตรัสขึ้นแล้ว
6. รอบพระคาถาเยธัมมาฯ มีรูปพระอรหันต์สาวก 10 รูป เป็นรูปแปลงธรรมสมาธินั่งบนธรรมสมาธินั่งบนธรรมมาส ครอบตัวตัวพุทครอบซ้อนหรือในตำรานะพิสดารเรียกว่า นะครอบจักรวาลหรือตัวนะสำเร็จ เป็นตัวนะที่ พล.ต.ต. ขุนพันธ์รักษ์ราชเดชใช้ชักผง ซึ่งนะสำเร็จนี้ท่านบอกว่า ท่านเรียนมาจากพระอาจารย์หม่อมราชวงศ์ศรีทัศนาเรณูเป็นพระธุดงค์ ลูกศิษย์หลวงปู่โลกอุดร พระอาจารย์หม่อมบวชเมื่อรัชกาลที่ 3 และสอนท่านขุนพันธ์ฯ ที่จังหวัดสระบุรี สมัยยังเรียนหนังสือที่วัดเบญจฯ ได้ใช้มาตลอด
7. รอบองค์พระสาวก เหนือตัวนะครอบจักรวาลเป็นชื่อกำกับพระสาวก ดังนี้
7.1 พระปุณณะมหาเถระ อรหันต์ไทยองค์แรก ที่ได้ไปรับเอหิภิกขุจากพระบรมศาสดา ณ กรุงสาวัตถี เมื่อวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน7 พุทธพัสสา 19 ได้ชื่อว่า พระปุณณะ สึกษาอยู่ 3ปี จึงกลับมา สูนาปรันตพริบพรี ในพุทธพัสสา 21 ตรงศักราชปีโลที่ 1166 ได้นำพระศาสนาเผยแพร่ที่สุวรรณภูมิพร้อมด้วยพระสาวก 449 รูปถึงสุวรรณภูมิเมื่อวันขึ้น 8 ค่ำเดือนอ้าย พุทธพัสสา 22
7.2 พระสัจจะพันธะมหาเถระ อรหันต์ไทยรูปที่ 2 ที่ได้รับเอหิภิกขุจากพระศาสดา เป็นรูปแรกในประเทศไทย ที่เขาสัจจะพันคีรี จังหวัดสระบุรี และได้ทูลขอรอยพระบาทไว้ที่เขาสัจจะพันคีรี ( พระพุทธบาท สระบุรี )
7.3 พระโสณมหาเถระ พระอุตตรมหาเถระ พระฌานียมหาเถระ พระภูริยมหาเถระ พระมูนียมหาเถระ พระอรหันต์ทั้ง 5 รูปนี้เป็นชุดสมณทูตที่พระเจ้าอโศกมหาราช ส่งมาเผยแพร่พระศาสนาสายที่ 8 ถึงเมืองนครศรีธรรมราช แวะพักอยู่ระยะหนึ่งจึงเดินทางต่อมายังสุวรรณภูมิเมื่อเดือนอ้าย ขึ้น 14 ค่ำ พ.ศ. 235 ปีฉลู
7.4 พระญารจรณมหาเถระ เดิมชื่อทองคำ พระโสณเถระเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอุตตรเถระสวดญัตติจตุตถกรรมวาจา ต่อมาเป็นพระสังฆราชองค์แรกของสุวรรณภูมิ
7.5 พระกัจจายนะเถระ เดิมชื่อผิว เป็นพระสงฆ์ไทยที่ไปช่วยพระโสณะเผยแพร่ศาสนาในอินโดนีเซีย (เมือง จอกตากอ) และอยู่ชวาช่วยขุนลสูสุวาเทียน สร้างวัดพุทธภูมิจนเสร็จ
7.6 พระธัมมสุนันทโธ เป็นโอรสของพระเจ้าโศลกว้ากับนางหวาน ชื่นใจ บวชเป็นสามเณรรูปแรกของไทย เมื่อขึ้น 2 ค่ำ เดือน 4 พ.ศ. 236 สามารถท่องพระไตรปิฎกจบภายในระยะเวลา 8 เดือน ต่อมาเป็นสังฆราชองค์ที่ 2 ของไทย เมื่อพ.ศง 314
ด้านหลังประกอบด้วยรูปแบบและความหมาย
1.ตรงกลางมีวงกลม ภายในวงกลมมีชื่อ ทัพไทยทอง เป็นตัวหนังสือแบบที่จดจารลงบนกระเบี้ยง หมายถึง พระเจ้าทัพไทยทอง เป็นกษัตริย์ที่ครองสุวรรณภูมิ เมื่อศักราชปีโล 1112 และเสด็จไปเวฬุวันเฝ้าพระพุทธเจ้า รับพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เปลื่ยนชื่อจากเมืองทองไทยลว้าเป็นสุวัณณภูมิและสร้างวัดแรกในไทย ชื่อวัดปุณณาราม
2. ภายในวงกลมรอบที่2 มีอักขระชื่อ ขุนสรวง ขุนนางสาง กลายร่างมาจากภัสสรเทพมหาพรหม หลังจากชิมง้วนดินแล้ว เป็นต้นตระกูลไทยมีลูกหลานสืบมา-อักขระชื่อ ขุนไทยแก้ว ขุนหญิงแก้วขวัญฟ้า เป็นชื่อของผู้มีหน้าที่เป็นเจ้าทะเล และแม่ย่านางเรือ ดูแลคนไทยในทะเลมาตั้งแต่ปลายยุคพุทธันดรที่ 2 น้ำท่วมโลก ( ฌป็นเรื่องตามตำนานของไทยที่เชื่อถือกันมาในอดีต ) อักขระชื่อ ขุนดินเขาเขียว ขุนหญิงกวักทองมา เป็นชื่อของต้นครูไทย มีลูกชาย 13 คน ครองเมือง 1 คน อีก 12 คน มีชื่อตามนามปี มีลูกหญิง 7 คน มีชื่อตามนามวันบรรดาลูกชายหญิงของท่านทั้ง 2 ต่างก็คิดวิธีทำมาหากินเพื่อดำรงชีพจนกลายเป็นต้นตระกูลไทยในสายวิชาชีพต่างๆ สืบมา
3. ภายในวงกลมที่ 3 เป็นเปลวเพลิง และรัศมีสั้นยาวสลับกันเป็นเครื่องหมายแทนองค์พระเจ้าตะวันอธิราช กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของสุวรรณภูมิ และทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาจนตั้งมั่นยืนยาวถึงปัจจุบัน
4. รอบรัศมีดวงอาทิตยื มีอักขระ 8 ตัว เป็นหัวใจพาหุงทั้ง 8 บท เป็นบทสวดบวงสรวงสมโภชนือนุโมทนาเพื่อให้เทวดาบนสรวงสวรรค์เพื่อประกาศถึงความสำเร็จ
5. ระหว่างเส้นรัศมีพระอาทิตย์ มีวงกลมล้อมรอบดวงอาทิตย์ 8 ดวง แทนองค์เจ้าดาวเด่นฟ้า และเดือนเด่นฟ้า โอรส 2 พี่น้องของพระเจ้าอธิราชเปรียบเสมือนดาวนพเคราะห์ที่หมุนรอบตัวเองและรอบดวงอาทิตย์ตามระบบสุริยะจักรวาลและเป็นที่อยู่อาสัยของสิ่งมีชีวิตที่เวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุด ระยะเวลาแห่งกาลเวลาจะหมุนเวียนเปลื่ยนไปไป เพื่อให้ทุกชีวิตที่เกิดมาได้มีโอกาสสร้างความดีและความชั่ว ตามขันธสันดานของแต่ละบุคคล
6. ภายในวงกลมทั้ง 8 ดวง เป็นหัวใจอริยสัจ 4 ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องประสบทุกคน และอักขระอีก 4 ตัว เป็นธาตุทั้ง 4 ของมนุษย์ ที่อาศัยดำรงชีวิตบนดาวนพเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาลเพราะมนุษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิดตามวัฏจักร ตราบใดที่ยังไม่ได้บรรลุธรรม
7. ระหว่างดวงดาวทั้ง 8 ดวงเป็นที่ว่างเปรียบเสมือนท้องฟ้าอันเป็นที่สิงสถิตของดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของบรรดา ขุนชาย ขุนหญิง ที่มีพระคุณต่อแผ่นดินและลูกหลานไทย ตามรายชื่อและประวัติดังนี้ จากซ้ายมือด้านปีชวดตามเข็มนาฬิกา
7.1 ขุนลือดันไทยทอง ขุนหญิงโพสพ ครองสุวรรณภูมิ เมื่อศักราชปีอินที่ 1402 ในสมัยท่านทั้งสองได้คิดพิธีทำขวัญข้าว บวงสรวงเกี่ยวกับพืช และคิดค้นการเพาะปลูก การทำนาปลูกข้าวให้เป็นระบบ และการเก็บเข้ายุ้งฉาง เมื่อตายไปพระมเหสีคนนับถือเป็นเจ้าแม่โพสพ
7.2 ขุนสือไทยและขุนขอมฟ้าไทย ครองสุวรรณภูมิเมื่อศักราชปีอินที่ 1215 ทั้ง 2 ท่านช่วยกันคือลายสือไทย และลายสือขอม เป็นครั้งแรก ส่วนขุนหญิงไทยงามเป็นมเหสีของขุนสือไทย คิดการทอผ้าดอก ผ้ายก เช่น ลายสือ ลายนกคู่ มีมาในแผ่นดินไทยนับพันปี เป็นต้นครูทอผ้า
7.3 พระเจ้าโลกลว้า พระนางก้านตาเทวี ครองสุวรรณภูมิเมื่อศักราชปีโลที่ 1410 ตรงกับพ.ศ. 220 ( พระบิดาของพระเจ้าตะวันอธิราช ) ฌป็นผู้รับสมณทูตทั้ง 5 รูป ที่พระเจ้าอโศกมหาราชส่งมาเผยแพร่ศาสนา หลังจากสังคายนาแล้ว ถวายกฐินเป็นพระองค์แรกและพิธีจุลกฐินก็มีขึ้นในสมัยของท่านเป็นครั้งแรก กลายเป็นประเพณีสืบมา และในสมัยของท่านมีการส่งพระภิกษุสงฆ์ของไทยไปศึกษาที่ประเทศอินเดีย 11 รูป สามเณร 3 รูป
7.4 พระเจ้าตะวันอธิราช พระนางสิริงามตัวเทวี ครองสุวรรณภูมิเมื่อ พ.ศ. 245 ในสมัยของท่านนอกจากการเสริมสร้างโรงเรียนและกองทัพบ้านเมืองแล้ว ยังส่งเสริมให้พระสงฆ์เรียนการสวด สาธยายพระไตรปิฎก เรียนสวดสังโยคมีการปั้น ให้ปั้นพระพุทธรูปตั้งเป็นพระประธาน ณ ศาลา นำวิธีการกราบพระตั้งนะโม การสวดคณะสัชฌายสังคีติ คือสังคีติสาธยายเป็นคณะจัดให้มีการไหว้พระสวดมนต์ เจริญพระพุทธมนต์ และในพิธีการต่างๆ เช่นการถวายพระ พระอนุโมทนา วิธี โกนจุก ทำบุญอายุ พิธีการศพ เช่นสวดมาติกา สวดพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ และสวดหน้าไฟ โดยมีพระโสณมหาเถระเป็นผู้นำฝึกสอน และพระเจ้าตะวันอธิราชเป็นผู้วางระเบียบให้เป็นประเพณีไทย จึงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน
7.5พระเจ้าเดือนเด่นฟ้าอธิราช ครองสุวรรณภูมิเมื่อปี พ.ศ. 305เป็นพระโอรสของพระเจ้าตะวันอธิราช เดือนเด่นฟ้าและดาวเด่นฟ้า ได้ช่วยกันวางรากฐานทางศาสนา ดูแลพระสมณทูตตลอดเวลา ช่วยกันจดจารจารึกเรื่องราว คำสอน พิธีการและเรื่องของบ้านเมือง ท่านทั้งสองได้สร้างวัดหลายวัด เช่นสร้างวัดพระธาตุเจดีย์เจดีย์ที่เมืองช้างค่อมแล้วให้ชื่อว่านคร ธัมมราช นิมนต์พระมุนียะไปอยู่ช่วยสร้างวัดพระธาตุและวัดดงสัก ที่เมืองนองทอง ( กาญจนบุรี ) นิมนต์พระอุตตรไปอยู่ช่วย สร้างวัดพระธาตุที่เมืองเถือมทอง ( นครปฐม ) นิมนต์พระภูริยะไปอยู่ช่วย สร้างวัดพระธาตุ เมืองอู่ทองและวัดป่าเรไร (สุพรรณบุรี ) นิมนต์พระอุตตรไปอยู่ช่วย นำศาสนาไปเขมร สร้างวัดพระธาตุ นิมนต์พระภูริยะไปอยู่ช่วย เมื่อวันขึ้น 11 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ. 282 สำหรับนครศรีธรรมราชนั้น นอกจากสร้างวัดพระธาคุแล้วยังสร้างโรงเรียนนายเรือ และตั้งกองทัพเรือใหญ่เพื่อสะดวกในการดูแลอาณาประเทศทางทะเลใต้ ได้ทั่วถึง
7.6 ขุนจันทรภาณุ ค รองสุวรรณภูมิ พ.ศ. 1000 เมื่อถึงพ.ศง 1018 มอบเมืองให้อนุชาชื่อขุนหาญ บุญไทย อยู่รักษาเมืองแล้วยกทัพไปชมพูทวีป ( อินเดีย ) ถึงพ.ศ. 1020 ไปเป็นมหาราชในอินเดีย หลังจากนั้นเพียง 2-3 ปี ขุนอินไสยเรนทร ลูกขุนจันทรภาณุคงจะนึกไปถึงคำโสณทำนายชะตาบ้านเมืองของสุวรรณภูมิ จึงมีความเห็นว่าควรย้ายเมืองและผู้คนไปเมืองธัมมราช ( นครศรีธรรมราช ) เพราะชอบดิน ฟ้า อากาศ ขุนหาญบุญไทยผู้เป็นอาคัดค้านให้รอขุนจันทรภาณุกลับมาก่อน ขุนอินไสยเรนทรไม่ฟังคำ จึงพาผู้คน 2000 ไปสร้างเมืองใหม่ที่ธัมมราช หรือศรีวิชัยสุวรรณภูมิเมื่อปี พ.ศ. 1023 และให้ชื่อว่า ศิริธัมมราช หรือศรีวิชัยสุวรรณภูมิ เมื่อขุนจันทรภาณุกลับมาก็ลงมาอยู่ที่ศิริธัมมราชด้วย สุวรรณภูมิหมดกษัตริย์ หลังจากนั้นขุนจันทร์ภาณุกลับไปเยื่ยมสุวรรณภูมิพร้อมขุนหญิงสีมาทองมเหสีอีกครั้ง เมื่อวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีพ.ศ. 1027 จากข้อความในกระเบี้ยงจารจารึกขุดได้ที่ตำบลท่าเรือ จังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่าในปี พ.ศ. 1410 ขุนสีไสเรนทร ครองศรีวิชัยสุวรรณภูมิ แสดงว่าเมื่อปีพ.ศ. 1410 นครศรีธรรมราชยังใช้ชื่อว่า ศรีวิชัยสุวรรณภูมิ
7.7 ขุนหาญบุญไทย ครองสุวรรณภูมิ พ.ศง 1030-1035 สร้างเมืองใหม่ย้ายมาจากเมืองสุวรรณภูมิเดิม มาตั้งที่หน้าเขางูและสร้างวัดสี่มุมเมืองบรรจุพระธาตุ ทิสตะวันออกสร้างวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ทิสเหนือสร้างวัดพระธรรมเจดีย์ ทิศใต้สร้างวัดพระพุทธเจดีย์ ทิศตะวันตกสร้างวัดอรัญญิกาวาส วัดนี้มีเจดีย์หินแกรนิคบนเจดีย์สลักหินรุปพญาราหูอมจันทร์รอบ สร้างเสร็จปีพ.ศง 1035 หลังจากสุวรรณภูมิเสื่อมอำนาจ เกิดเมืองใหม่ขึ้นอีก 3 เมือง เป็น 3 ก๊กไทย
- พ.ศ. 1023-1026 ศรีวิชัยธัมมราช (นครศรีธรรมราช ) ขุนอินไสเรนทรสร้าง
- พ.ศ.1030-0135 ราชพลี ( สุวรรณภูมิ ) ขุนหาญบุญไทยสร้าง
- พ.ศ. 1112-1122 ไทยทวาลาว ( เถือมทอง นครปฐม ) ขุนฟ้าเมืองไทยสร้าง
ต่อมาทั้ง 3 เมืองได้มีการรบกันหลายครั้งในชั้นหลังและเมือ พ.ศง 1720 ขุนศรีเฉลิมฟ้า ตรองไทยทวาลาวไม่ยอมเสียค่าขวัญเมืองแก่ขุนราชพลีปีละ 1000 ตำลึง จึงเกิดรบกัน ขุนศรีเฉลิมฟ้าปราชัยและสิ้นชีพ
-พ.ศ. 1720-1721 ขุนศรีนาวนำถม ครองไทยทวาลาวต่อจากขุนศรีเฉลิมฟ้า เกรงอิทธิพลและการทวงค่าขวัญเมืองของขุนราชพลีจึงอพยพขึ้นไปทางเหนือถึงถิ่นแดนสระหลวง ริมแม่น้ำสมพาย ( แม่น้ำสำพัน ) ตังเมืองใหม่ชื่อว่า สุโขทัย
|